พลังเย็นกระพือ เพื่อจัดเก็บอาหารจากธรรมชาติสู่ความสดชื่นในทุกๆ วัน

ในโลกของเรานั้น ทุกสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ปัญหาของอะไรบางสิ่งบางอย่าง
เราจึง คิด วิธีการที่จะแก้ปัญหาเพื่อมุ่งไปข้างหน้าสู่อนาคตโดย สร้าง เส้นทางในการก้าวไปข้างหน้า และต่อให้คิดและสร้างแล้ว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จหากพวกเรายังไม่ได้ “ออกแบบ” เส้นทางดังกล่าวนั้นอย่างถูกต้อง ซึ่งการออกแบบในที่นี้ไม่ใช่แค่การออกแบบในเชิงรูปธรรม หรือออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่หมายถึงการออกแบบในเชิงโครงสร้าง ออกแบบวิธีคิด และวิธีการทำงาน ด้วยเหตุนี้ต่อให้เจอปัญหาก็สามารถใช้กระบวนการคิดและออกแบบวิธีแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
สวัสดีครับ วันนี้เรากลับมาพบกับบทความ Unexpected Design ที่จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ ความเย็นยะเยือก เหมาะกับหน้าร้อนตอนนี้มากๆ เอาล่ะครับคงไม่มีใครไม่รู้จัก “ตู้เย็น” สิ่งอำนวยความสะดวกและช่วยถนอมอาหารให้กับเราในครัวเรือน ที่มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ วัตถุประสงค์ในการใช้ ที่แตกต่างกัน ทุกๆ ท่านทราบกันไหมครับว่า ใครเป็นคนคิดค้น ออกแบบ เจ้าตู้เย็นสิ่งอำนวยความสะดวกชนิดนี้ให้กับมนุษยชาติโลกได้ใช้กัน เรื่องมันมีอยู่ว่า

มนุษย์เราได้ใช้วิธีการธรรมชาติในการถนอมอาหารมาช้านาน ด้วยการแช่เย็น การหมัก หรือการรมควัน (อย่างบทความตอนก่อนหน้านี้ที่เราพูดถึงการถนอมอาหารมาแล้ว กลับไปอ่านได้ที่ ปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต) และเมื่อฤดูกาลหนาวมาเยือน มนุษย์เราจึงสามารถเก็บรักษาอาหารด้วยการนำน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งหรือภูเขาน้ำแข็งมาใช้งาน น้ำแข็งเย็นยะเยือกได้ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารให้ยาวนานขึ้น

จนกระทั่งในปี  1748 วิลเลียม ซาวันด์ ชาวสกอตแลนด์ ผู้นำเข้านมจากเมืองมุมบาย ประเทศอินเดีย ได้คิดค้นและประดิษฐ์ตู้เย็นโดยใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาการเน่าเสียของอาหารในสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้น ตู้เย็นของเขาสามารถลดอุณหภูมิลงได้ประมาณ 16-18 องศาเซลเซียส เทียบกับอากาศภายนอก ช่วยยืดอายุการเก็บรักษานม ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้คงสภาพสดใหม่นานขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ในปี 1805 ออลิเวอร์ เอแวนส์ นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้ริเริ่มทำการออกแบบตู้เย็นเครื่องแรกขึ้นมาแต่ก็ใช้งานไม่ได้อีกเช่นกัน อีวานส์จึงกลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการออกแบบตู้เย็น

และในปี ค.ศ. 1834 จาคอบ เพอร์กินส์ เป็นคนแรกที่สามารถคิดค้นและประดิษฐ์ตู้เย็นเครื่องแรกของโลกได้อย่างจริงจัง และสามารถใช้งานได้อีกทั้งเป็นรูปแบบแรกที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้

ตู้เย็นได้ถูกจดสิทธิบัตรกระบวนการทำก๊าซให้เป็นของเหลวเป็นครั้งแรกโดย วิศวกรชาวเยอรมันที่ชื้อว่า คาร์ล วอน ลินเดน ในปี ค.ศ.1876 ซึ่งการจดลิขสิทธิ์ครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนยีการทำความเย็นเบื้องต้นก็ว่าได้ แต่ก็เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งในช่วงยุค 1920 เมื่อก๊าซพิษเหล่านั้นได้ รั่วไหลออกจากตู้เย็นซึ่งเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้งานไม่น้อยเลยนะคะดังนั้นบริษัทในอเมริกันได้รวมตัวกันทำวิจัยและพัฒนากระบวนการทำความเย็นที่เน้นให้ปลอดภัยแก่ผู้ใช้มากขึ้นมากขึ้น การวิจัยในครั้งนี้เป็นผลให้พวกเขาทำให้ค้นพบ สารฟรีออนในการทำความเย็นขึ้นมาในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเองนะคะ ซึ่ง คลอโรฟลูออโรคาร์บอนส์ (CFC) ชนิดนี้เป็นภัยต่อชั้นโอโซนของโลกนั่นเอง และนี่ล่ะคะคือที่มาของคำว่าโลกร้อน

แม้ตู้เย็นจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์มหาศาล แต่มนุษย์เราไม่หยุดนิ่งที่จะคิดค้นและพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยมา หลังจากสงครามโลกครั้งที่2 ตู้เย็นก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นภายในบ้านและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นักออกแบบจึงเริ่มให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม รวมถึงประสิทธิภาพในการทำความเย็นและการประหยัดพลังงาน

สู่ยุคปัจจุบัน เราสามารถพบเจอตู้เย็นที่มีระบบการทำงานประหยัดพลังงานและสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ระบบควบคุมอุณหภูมิ ช่องแช่แข็งอัจฉริยะที่ป้องกันการเสียคุณค่าของสารอาหาร รวมถึงระบบทำน้ำแข็งอัตโนมัติที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าการออกแบบตู้เย็นสมัยใหม่ยังคำนึงถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บอาหารที่เหมาะสม และการใช้งานที่สะดวกสบาย

ในการออกแบบตู้เย็นสมัยใหม่นั้น มีการศึกษาและคำนึงถึงทั้งด้านประโยชน์ใช้สอย ประสิทธิภาพการทำงาน และความงามทางสุนทรียะอย่างลงตัว โดยนักออกแบบจะเริ่มต้นจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้งานตู้เย็นของผู้บริโภค พิจารณาชนิดและปริมาณอาหารที่ต้องเก็บ บ่อยครั้งแค่ไหนในการเปิด-ปิดประตู หรือการหยิบจับสิ่งของ เพื่อวางผังและจัดสรรพื้นที่ภายในตู้เย็นให้เหมาะสมและใช้งานได้อย่างสะดวกที่สุด
การศึกษาพฤติกรรมการใช้งานตู้เย็นของผู้บริโภคเป็นขั้นตอนสำคัญที่นักออกแบบจะต้องให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบตู้เย็นให้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. การสังเกตและศึกษาพฤติกรรมการใช้งานจริง นักออกแบบอาจลงพื้นที่ไปสังเกตการใช้งานตู้เย็นของผู้บริโภคโดยตรง เช่น ว่ามีการเปิด-ปิดประตูบ่อยแค่ไหน มีการหยิบจับหรือค้นหาสิ่งของในตู้อย่างไร เก็บของชนิดใดและในบริเวณใด เป็นต้น
  2. การสำรวจความต้องการและปัญหาที่พบ นอกจากสังเกตพฤติกรรมแล้ว นักออกแบบอาจสำรวจโดยการสัมภาษณ์หรือแจกแบบสอบถามถึงความต้องการ ปัญหา หรือข้อเสนอแนะในการใช้งานตู้เย็น
  3. การวิเคราะห์พฤติกรรมตามกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลพฤติกรรมและความต้องการที่ได้จะถูกนำมาจำแนกและวิเคราะห์ตามกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ครอบครัวขนาดเล็ก ครอบครัวขนาดใหญ่ กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มคนโสด เพื่อออกแบบได้ตรงตามกลุ่มผู้ใช้งาน
  4. การทดสอบและปรับปรุงแบบจำลอง หลังออกแบบแล้ว นักออกแบบอาจนำตู้เย็นแบบจำลองให้กลุ่มผู้บริโภคทดสอบการใช้งาน เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมเพิ่มเติมและรับฟังข้อคิดเห็น นำมาปรับปรุงให้การออกแบบสมบูรณ์แบบที่สุด

การศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานจริงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้นักออกแบบสามารถเข้าใจความต้องการที่แท้จริง และสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบที่ตอบโจทย์ได้อย่างแม่นยำ ตู้เย็นสมัยใหม่ที่ใช้งานสะดวกสบายจึงเกิดขึ้นได้จากการนำข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้งานมาเป็นแนวทางในการออกแบบนั่นเอง

แล้วตู้เย็นเข้ามายังบ้านเราเมื่อไหร่ ?
ตู้เย็นได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ 1930 หรือประมาณ พ.ศ. 2473 เป็นต้นมาในช่วงเวลานั้น การมีตู้เย็นถือเป็นสิ่งหรูหราที่มีเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือราชสำนัก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีราคาสูงมากและต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่มีตู้เย็นไว้ใช้ภายในพระราชวัง เพื่อถนอมอาหารและเครื่องดื่มให้คงความสดใหม่ ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก หลังจากนั้นตู้เย็นก็เริ่มแพร่หลายในกลุ่มชนชั้นสูงและพ่อค้านายทุนในกรุงเทพฯเรื่อยมา จนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตู้เย็นเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่คนไทยทั่วไปมากขึ้น เมื่อมีการนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นและมีการผลิตในประเทศเอง
อย่างไรก็ตาม ตู้เย็นยังคงถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับคนจำนวนมากในช่วงแรกๆ เพราะมีราคาสูงและการใช้กระแสไฟฟ้าที่มีจำกัด จนกระทั่งในช่วงทศวรรษ 1970-1980 เป็นต้นมา ตู้เย็นจึงเข้าถึงครัวเรือนของคนไทยทั่วไปได้มากขึ้น

แล้วตู้เย็นยี่ห้ออะไรที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นแบรนด์แรก?

แบรนด์ตู้เย็นที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นแบรนด์แรกๆ คือ เวสติงเฮาส์ (Westinghouse) เวสติงเฮาส์เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้คิดค้นและผลิตตู้เย็นขึ้นมาเป็นรายแรกๆ ของโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อเทคโนโลยีตู้เย็นแพร่หลายมากขึ้น เวสติงเฮาส์จึงขยายการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยตู้เย็นเวสติงเฮาส์เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาจำหน่ายในไทย ผู้นำเข้ารายแรกของตู้เย็นเวสติงเฮาส์มาจำหน่ายในไทยคือ บริษัทหาดสยามสหกรณ์ ในราวปี พ.ศ. 2473 โดยขายให้กับชนชั้นสูงเป็นหลัก หลังจากนั้นก็มีแบรนด์ตู้เย็นจากยุโรปและสหรัฐฯ เข้ามาจำหน่ายในไทยตามมาอีกหลายแบรนด์ อาทิ เจนเนอรัล อิเล็กทริก (GE), ฟริจิแดร์ (Frigidaire), โคลด์สปอต (Cold Spot) เป็นต้น จนกระทั่งมีการผลิตตู้เย็นในประเทศไทยเองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ปัจจุบันเวสติงเฮาส์จะไม่ใช่แบรนด์ตู้เย็นที่มีชื่อเสียงมากนักในบ้านเรา แต่ก็นับได้ว่าเป็นแบรนด์บุกเบิกที่นำเทคโนโลยีตู้เย็นเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกๆ

ในอนาคตของตู้เย็นจะเป็นอย่างไร ?

ตู้เย็นในอนาคตจะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ได้ ทำให้สามารถควบคุมการทำงานและติดตามสถานะผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้ รวมถึงสั่งซื้ออาหารและเครื่องดื่มออนไลน์โดยตรง (ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีตู้เย็นแบบที่ว่านี้บ้างแล้ว)
ระบบจัดการและติดตามอาหารอัจฉริยะ ตู้เย็นจะมีระบบสแกนและจดจำอาหารที่เก็บไว้ภายใน สามารถแจ้งเตือนอายุการเก็บรักษา คำนวณโภชนาการและแนะนำเมนูอาหารที่สามารถทำได้จากวัตถุดิบที่มีอยู่
ประสิทธิภาพการทำความเย็นสูงขึ้น การใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีฉนวนกันความร้อนที่ดียิ่งขึ้น และระบบการทำความเย็นแบบใหม่ จะช่วยให้ตู้เย็นมีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น
การออกแบบโดนใจยิ่งขึ้น ตู้เย็นอนาคตจะมีรูปลักษณ์ที่สวยงามและทันสมัย ผสมผสานเทคโนโลยีอย่างลงตัว อาจมีจอสัมผัสขนาดใหญ่ หรือรองรับระบบควบคุมด้วยเสียง นอกจากนี้ยังอาจมีขนาดและรูปทรงที่กะทัดรัดเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
ฟังก์ชันใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวก นอกเหนือจากเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติแล้ว ตู้เย็นอนาคตอาจมีฟังก์ชันเสริมอื่นๆ เช่น เครื่องผสมน้ำผลไม้หรือนมในตัว ช่องปรุงสุกอาหารด้วยระบบไมโครเวฟ หรือช่องอุ่นอาหารไว้ได้ตลอดเวลา เรียกว่า All-in-One เลยทีเดียวเชียว

เป็นอย่างไรกันบ้างคับ กับเรื่องราวตู้เย็นที่อยู่ในบ้านเรา จากการเริ่มต้นด้วยก้อนน้ำแข็งจนมาถึงตู้เย็นอัจฉริยะในปัจจุบัน เราได้เห็นถึงความพยายามของมนุษย์ที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชีวิต ตู้เย็นจึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นวัตกรรมที่น่าสนใจ และเล่าขานต่อกันไป