A Gift พรจากฟ้า
Directed by Chayanop Boonprakob, Jira Maligool, Nithiwat Tharatorn, Kriangkrai Vachiratamporn
Written by Chayanop Boonprakob, Jira Maligool, Nithiwat Tharatorn, Kriangkrai Vachiratamporn
Music by Vichaya Vatanasapt
Cinematography Naruphol Chokanapitak
Edited by Panayu Kunvanlee, Thammarat Sumethsupachok, Chonlasit Upanigkit
Running time 144 minutes
ค่ายหนังไทยอารมณ์ดี GDH559 ตั้งใจมอบภาพยนตร์โรแมนติก-คอเมดี้ พรจากฟ้า เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้แก่คนไทยทุกคน เนื้อเรื่องมีทั้งหมด 3 พาร์ต แต่ละพาร์ตเกี่ยวข้องกับเพลงพระราชนิพนธ์คนละเพลง และใช้นักแสดงนำคนละคู่ โดยแต่ละพาร์ทมีจุดเชื่อมโยงกันนิดหน่อย
พาร์ทแรก เป็นพาร์ทของเพลง ยามเย็น กำกับโดย หมู-ชยนพ บุญประกอบ และปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร นำแสดงโดย วี วิโอเล็ต วอเทียร์ และ นาย ณภัทร เสียงสมบุญ ร่วมด้วย นท เดอะสตาร์ เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวแปลกหน้าที่จับพลัดจับผลูต้องมาเป็นสแตนด์อิน “ท่านทูตรัสเซีย” กับ “ภริยาท่านทูต” คู่กัน และโมเมนต์ “อ้อย” ก็เกิดขึ้น
พาร์ตสอง เป็นพาร์ทเพลง Still on My Mind กำกับโดย ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร นำแสดงโดย มิว นิษฐา และ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ โดยมิวรับบทเป็นลูกสาวที่ต้องดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์และถามหาแม่ตลอดเวลาทั้งที่แม่ไม่อยู่แล้ว ส่วนซันนี่เป็นช่างจูนเปียโนที่มาช่วยมิวซ่อมเปียโน เพราะมิวเชื่อว่าเสียงเปียโนเพลงโปรดของแม่จะทำให้พ่อจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
พาร์ตสุดท้าย เป็นพาร์ทเพลง พรปีใหม่ ผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ เก้ง-จิระ มะลิกุล นำแสดงโดย เต๋อ ฉันทวิชช์ และ หนูนา หนึ่งธิดา สองพระนางผู้รับบทเป็นมนุษย์เงินเดือนผู้มีใจรักในเสียงดนตรี พยายามทำให้บอร์ดบริหารอนุมัติสร้างห้องซ้อมดนตรีให้พนักงานในออฟฟิศ
คนทั่วไปอาจจะคิดว่า พรจากฟ้า เป็นหนังเทิดพระเกียรติหรือหนังเกี่ยวกับ ร.๙ เลยอาจมองข้ามหนังเรื่องนี้ไปบ้าง แต่ยืนยันอีกเสียงเลยว่านี่เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ตามสไตล์ GDH ทั่วไปที่พวกเราคุ้นเคยนั่นแหละ นี่ไม่ใช่หนังเทิดพระเกียรติในหลวง ที่ไหนอะไรเลย ไม่มีชื่อของพระองค์หลุดรอดเล็ดมาสักคำด้วยซ้ำ มีแต่เพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่ใช้เป็นธีมของหนังพาร์ทละเพลง
ยามเย็น
Still on My Mind
พรปีใหม่
พาร์ทแรกเป็นพาร์ทที่สนุกที่สุดและทำดีที่สุดในบรรดาทั้งสามพาร์ท อย่างแรกเลย ท่านทูตกับภริยาท่านทูตเคมีเข้ากันมาก
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เสน่ห์และความกรุ้มกริ่มของ นาย ณภัทร ไม่ใช่แค่คาแรกเตอร์อันน่ารักและเสียงอันไพเราะของ วี วิโอเล็ต เท่านั้น เพราะต่อให้พระนางสวยหล่อแค่ไหน แต่หากบทไม่ดี ไดอะล็อกไม่ปัง หนังก็ไม่สนุก จริงมั้ย แต่นี่สองผู้กำกับตีความและนำเสนอเพลง ยามเย็น ได้น่าสนใจ ทำให้เพลงพระราชนิพนธ์มีความหมายยิ่งขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายกับคนรุ่นใหม่
‘แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา’ อาจจะมีความหมายรำลึกถึงคนรักเก่าที่จากไปอย่างเศร้าโศกเสียใจก็ได้ หรือในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นความหมายที่ดี ภูมิใจ ยินดี และส่งคนที่เรารักและปรารถนาดีไปสู่แดนไกลก็ได้อีกเช่นกัน แล้ว วี วิโอเล็ต ร้องเพลงนี้เพราะมาก สื่อเพลงเดียวกันได้ถึงแก่นทั้งสองความหมาย เก่งสุด ๆ
ส่วนพาร์ทอื่น ๆ ค่อย ๆ ดร็อปลง ถึงแม้ว่าทั้งสามพาร์ตมันจะคนละรสคนละสไตล์ก็เถอะ แต่ถ้าว่ากันในเชิงคุณภาพการกำกับ เขียนบท และองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วยังไงมันก็ดร็อปลงเรื่อย ๆ อยู่ดี ทั้งที่ชอบพาร์ทแรกมาก ๆ ในส่วนของการพยายามเอาตัวละครทั้งสามพาร์ทมาเชื่อมโยงกันก็ขอใช้คำว่า “พยายามได้ดี” แต่ยังไม่ได้เนียนขนาดนั้น เพราะมันยังชัดเจนว่า “พยายาม”
พาร์ทสอง ตัดอารมณ์มาที่งานดราม่า ถ้าไม่มีตัวละครของซันนี่ กวน ๆ โผล่มานี่คือดราม่าหนักทั้งเรื่อง แต่ข้อดีคือมันทำให้เราคิดถึงครอบครัว คิดถึงพ่อแม่ที่เริ่มแก่เฒ่าลงมากขึ้น คนที่มีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่เป็นอัลไซเมอร์ก็คงยิ่งอินมั้ง เรื่องมันดูตั้งใจประดิษฐ์ให้ดราม่ามากเกินไปนิดนึง สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับพาร์ทสอง มิวแสดงดราม่าได้ดีขึ้นและเป็นธรรมชาติกว่าในเรื่อง แฟนเดย์ฯ คนที่รับบทเป็นคุณพ่อของมิวก็เล่นดี ยิ่งเสริมให้การแสดงของมิวเจิดมากขึ้น ส่วนซันนี่เรื่องนี้บทไม่เยอะ แต่มีความสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเขา ปัญหาของมิวอาจจะไม่จบง่าย ๆ และเรื่องนี้ก็คงไม่มีอะไรให้ยิ้มหรือหัวเราะเลย นอกจากน้ำตาซึม อีกอย่างหนึ่งคือ ได้รู้จักเพลงพระราชนิพนธ์เพิ่มขึ้นหนึ่งเพลงคือเพลง Still on My Mind ฟังดูก็ดูมีความหมายเข้ากับเนื้อหาหนังพาร์ทนี้นะ แต่ไม่ได้ใช้ชั้นเชิงในการถ่ายทอดมากนักเมื่อเทียบกับหนังพาร์ทแรก
พาร์ทที่สาม ตามหลักเขาก็เรียกว่าเป็นพาร์ทฟินาเล่ ใช้เพลง พรจากฟ้า มาสวัสดีปีใหม่คนดูก่อนปิดจบ ซึ่งบรรเลงได้สนุกมาก แต่คงจะอินกว่านี้ถ้าเราไปดูตอนช่วงสิ้นปีหรือปลายเดือน ธ.ค. จริง ๆ ไม่ใช่ต้นเดือน ธ.ค. / HAPPY NEW YEAR
พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ weird มาก คือ surreal คือสุดโต่ง ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร สาระมีไม่ต้องมาก มีเอาไว้คลายเครียด เหมือนมาดูละครเวที circus นักแสดงแต่ละคนเล่นใหญ่ออเคสตร้า โดยเฉพาะนักแสดงสมทบนี่สีสันของเรื่อง เต๋อกับหนูนาเรื่องนี้ธรรมดาไปเลย มุกก็ห้าบาทสิบบาทแต่เค้าก็กล้าเล่น ซึ่งตรงนี้ขอชื่นชมนะ กะจะบ้ามันก็บ้าให้สุดไปเลย เป็นพาร์ทที่ไม่ได้อะไรมาก นอกจากคลายเครียดอารมณ์ดี เอาจริงพาร์ทนี้มันก็สนุกในแบบของมัน แต่ที่ไม่ชอบคือใช้ซาวนด์เอฟเฟกต์ฟุ้งเฟ้อและเอิกเกริกไปนิด บทพูดหลายท่อนมันก็ดูยัดเยียดเกินไปหน่อย ดูพยายามเชื่อมโยงกับประเด็นความสุขพนักงาน เหมือนเอาใจมนุษย์ออฟฟิศผู้เป็นประชากรวัยทำงานส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม เป็นหนังที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของคนทำหนัง นั่นก็คือ “เป็นของขวัญให้คนไทย” และทำให้ “เพลงพระราชนิพนธ์” เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกับคนไทยทุกเพศทุกวัย เพราะดูแล้วมันมีความสุขมากจริง ๆ ถึงแม้บางพาร์ทจะไม่ได้อะไรนอกจากความสุขเลยก็ตาม แต่บางครั้งแค่มีความสุขมันก็เพียงพอแล้ว ถือว่ายังเป็นหนึ่งในหนังไทยที่น่าสนับสนุนเรื่องหนึ่งแห่งปี