Jojo Rabbit: ต่ายน้อยโจโจ้
ผู้กำกับภาพยนตร์: Taika Waititi
นักแสดง : Roman Griffin Davis, Thomasin McKenzie, Scarlett Johansson, Taika Waititi, Sam Rockwell, Rebel Wilson, Alfie Allen, Archie Yates
ประเภท: Comedy, Drama, War
ความยาว: 108 นาที
สตูดิโอ :TSG Entertainment, Piki Films, Defender Films
Jojo Rabbit เล่าเรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของเด็กเยอรมันวัย 10 ขวบ อย่าง Jojo (Roman Griffin Davis นักแสดงเด็กหน้าใหม่ที่เล่นหนังเรื่องแรกก็ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชาย) ที่มีความรักชาติ ชอบสวัสดิกะ อยากเป็นทหาร และมี Adolf Hitler (Taika Waititi) เป็นเพื่อนในจินตนาการ
Jojo กับ Yorki เพื่อนรักของเขา (Archie Yates) ไปสมัครเป็นลูกเสือค่ายยุวชนนาซี โดยมี Captain Klenzendorf (Sam Rockwell นักแสดงออสการ์จาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri), Finkel (Alfie Allen จาก Game of Thrones), และ Fraulein Rahm (Rebel Wilson จาก Pitch Perfect) เป็นครูฝึก แต่ Jojo ประสบอุบัติเหตุระหว่างการฝึก ทำให้ไม่ได้เป็นทหารตามฝัน แต่ก็ได้ช่วยค่ายทำงานทั่วไปแทน เช่น แจกใบปลิว
วันหนึ่ง Jojo พบว่า Rosie แม่ของเขา (Scarlett Johansson จาก The Avengers) แอบซ่อนเด็กสาวยิวไว้ในบ้าน แต่เขาบอกทางการไม่ได้ เพราะกลัวครอบครัวจะเดือดร้อน เขาจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และแวะขึ้นมาถามเรื่องราวของยิวจากสาวยิว Elsa (Thomasin McKenzie จาก The King) บ่อย ๆ ซึ่งทำให้เขาพบว่าจริง ๆ แล้วยิวก็เหมือนพวกเขา ไม่ได้เป็น monster เหมือนที่ผู้ใหญ่บางคนสอนหรือที่ propagandize กันมาเลย
Jojo Rabbit ได้รางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (และเข้าชิงอีก 5 สาขา) ซึ่งถึงแม้ว่า โดยส่วนตัวเราจะชอบ Little Women มากกว่า แต่ก็เข้าใจว่ากรรมการออสการ์น่าจะชอบเรื่องแนวนี้มากกว่าแนว feminist อยู่แล้ว ประกอบกับหนังมีเมสเซจ anti-war กับเรื่อง racist ซึ่งเป็น movement ที่สำคัญกว่าในช่วงหลัง ๆ มานี้ ดังนั้น Jojo Rabbit ก็สมมงอยู่ดี และเราเองก็ชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกัน
โดยตอนนี้เรายก Jojo Rabbit ขึ้นหิ้งหนึ่งในหนังนาซีที่เราชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ร่วมกับ Schindler’s List, The Pianist, The Boy in the Striped Pajamas ฯลฯ (รอเก็บ Life Is Beautiful อีกเรื่องนึงอยู่ด้วย ยังไม่ได้ดู)
หลัก ๆ ก็เพราะ Jojo Rabbit มันเอาเรื่องเนื้อหาหนัก ๆ มาทำให้เบาลง ซอฟต์ลง อีกทั้งเล่า past events ด้วย present tense ที่ย่อยง่าย โดยเอาเมสเซจ เช่น fascism และ racial stereotype ฯลฯ มาเล่าได้อย่างพูดน้อยต่อยหนัก มีหลายฉากที่เราจี๊ด รู้สึกทัช และน้ำตาคลออย่างไม่ได้ตั้งตัว
พูดอีกอย่างคือ ถึงแม้ว่าหน้าหนังจะเป็นหนังกึ่งคอเมดี้ แต่ก็เป็นตลกร้าย ไดอะล็อกทุกอย่างมันจริงไปหมด และเนื้อหาเข้ากับบริบทการเมืองของสังคมทั้งในสมัยนั้นยันถึงสมัยนี้ (#ผนงรจตกม) ประกอบกับ โปรดักชั่นดีไซน์และคอสตูมดีไซน์ก็สวยงามสมจริงโดยผสมผสานกับความฮิปสเตอร์ได้อย่างลงตัว
Scarlett Johansson รับบทแม่ของเจ้าหนู Jojo ถึงแม้จะเป็นบทสมทบ แต่มีความสำคัญและอิมแพคอย่างมาก ทั้งในส่วนของการแสดงและในส่วนของบทบาทของเธอที่มีต่อเส้นเรื่องหลัก ตัวละครของเธอมีความน่าสนใจ เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สวยและสตรอง ถึงแม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับสงครามและ fascism แต่เธอก็ไม่ขัดขวางความชอบความสนใจของลูก และคอยสอนลูกอย่างแยบยล
ด้วยความยังเด็ก เจ้าหนู Jojo ยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นนาซี แต่เขาคิดว่าการใส่ยูนิฟอร์มมันเท่ และเขาก็อยากได้รับการยอมรับตามประสาเด็กที่ไม่อยากรู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนจากฝูง ฉายา Jojo Rabbit ของเขาก็ได้มาจากเพื่อน ๆ รุ่นพี่ในค่ายยุวชนนาซี ที่ bully ว่า Jojo อ่อนแอและขี้ขลาดเหมือนกระต่าย แต่สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ เติบโตและก้าวข้ามผ่านปมกระต่ายนั้น
ในขณะเดียวกัน สาวยิว Elsa ที่ต้องหลบซ่อนอยู่ในผนังบ้านของ Jojo ซึ่งอาจเปรียบเสมือนกระต่ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในรู แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเธออ่อนแอหรือขี้ขลาดเสมอไป เธอเข้มแข็ง และเป็นตัวละครสำคัญ ในฐานะเป็นเพื่อนลับ ๆ ของ Jojo (เช่นเดียวกับ Hitler ที่เป็นเพื่อนในจินตนาการ) ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ และรู้จักยิวด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่คิดว่าตนเองคือชาวอารยัน
ในป่ามีสิงสาราสัตว์นานาชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน และไม่ควรมีสัตว์ตัวไหนถูกเหมารวมด้วย personality ด้านใดด้านหนึ่งด้านเดียว เพราะแต่ละปัจเจกล้วนมีมิติ ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เช่นเดียวกับมนุษย์ หรือกระทั่งทหารในชุดนาซี ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเลวร้ายไปซะหมด และบางครั้งเราทุกคนก็จำเป็นจะเป็นกระต่ายบ้าง
cr.kwanmanie.com