TENET / เทเน็ท
ผู้กำกับภาพยนตร์: Christopher Nolan
ผู้เขียนบท: Christopher Nolan
นักแสดงนำ: John David Washington, Robert Pattinson, Elizabeth Debicki, Kenneth Branagh, Aaron Taylor-Johnson, Michael Caine
ดนตรีประกอบ: Ludwig Göransson
ความยาว: 150 นาที
แนว/ประเภท: Action, Sci-Fi
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Syncopy, Warner Bros.
TENET และหนังหลาย ๆ เรื่องของเสด็จพ่อ Christopher Nolan อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าหนังเขาจะขาดทุนหรือได้เงินน้อยเสมอไป ตรงกันข้าม หนังเขาทำเงินและเป็นที่กล่าวถึงเสมอ ทั้งนี้เราเชื่อว่า คนที่ไปดูหนังของเค้าหลาย ๆ คน ต้องอยากดูซ้ำมากกว่า 1 รอบในโรงภาพยนตร์ เพื่อเก็บรายละเอียดหรือหาคำตอบบางประการที่ค้างคาใจ และก็หนัง Nolan นี่เองอีกเช่นกัน ที่กระตุ้นให้โรงหนังทั่วโลกกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซามานานจากพิษ COVID-19
TENET แปลว่า “a principle or belief, especially one of the main principles of a religion or philosophy.“
TENET ตอกย้ำว่า Nolan ยังคง obsessed กับทฤษฎีฟิสิกส์ และทะเยอทะยานกับการทำหนังเกี่ยวกับ “เวลา” อันซับซ้อน ที่คนดูต้องตีลังกาหรือพกพาราฯ เข้าไปดูด้วย ตั้งแต่ Memento (2000), Inception (2010), Interstellar (2014), Dunkirk (2017) ฯลฯ โดยเฉพาะ Interstellar กับ TENET เรื่องนี้ ที่ Nolan ได้ว่าจ้าง Kip Thorne นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล มาเป็นที่ปรึกษาในการเขียนบทหนังด้วย
TENET เล่าเรื่อง Protagonist หรือตัวเอกของเรื่อง (John David Washington ลูกชายของ Denzel Washington) ได้รับมอบหมายภารกิจป้องกันการเกิดของสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเกี่ยวกับ Time inversion (ไม่ใช่ Time travel) และสงครามเวลา (temporal war) โดยมี Neil (Robert Pattinson จาก Twilight) เป็นคู่หูตลอดภารกิจ, มีเจ๊ Priya (Dimple Kapadia นักแสดงอินเดีย) อยู่เบื้องหลังด้านข้อมูล, และมีองค์กร Tenet / หน่วยทหารที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ นำทีมโดย Ives (Aaron Taylor-Johnson จาก Avengers: Age of Ultron)
แผนภารกิจคร่าว ๆ คือ Protagonist (ในหนังไม่มีใครเรียกชื่อและตัวเอกก็ไม่ได้บอกชื่อตัวเองกับใคร) ต้องยับยั้งไม่ให้พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย Andrei Sator (Kenneth Branagh จาก Murder on the Orient Express) รวบรวม algorithm ได้ครบ 9 ชิ้นส่วน เพราะเขาจะใช้เป็นอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถ invert เอ็นโทรปี (entropy) และทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยเข้าทาง Kat (Elizabeth Debicki จาก The Great Gatsby) ภรรยาของ Sator ผู้ถูกสามี abuse และกีดกันเธอออกจาก Max ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
นอกจากนี้ หนังมีเชื่อมโยงกับ climate change ด้วย กล่าวคือ Sator เหมือนจะร่วมมือกับกลุ่มคนในอนาคต ที่ต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นต้นเหตุของโลกร้อน เพื่อรีเซตโลกใบใหม่ในอนาคต โดยพวกเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงอดีต หรือการฆ่าบรรพบุรุษของตัวเอง จะไม่ส่งผลต่อตัวตนของพวกเขาซึ่งอยู่ในโลกอนาคต
TENET จากนิยามในดิคชันนารี แปลว่า “a principle or belief, especially one of the main principles of a religion or philosophy.” พูดง่าย ๆ คือมันเกี่ยวกับความเชื่อ เหมือนที่ตัวละครแต่ละตัวมีความเชื่อในอะไรบางอย่าง แม้ว่าจะไม่ได้รู้ทั้งหมด แต่ก็เชื่อในสิ่งนั้นและทำมัน เช่น ตัวเอกที่มาทำภารกิจทั้งที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังหาอะไร เพื่ออะไร
ดังนั้น คำแนะนำในการดู TENET อย่างแรกเลย ก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ Barbara (Clémence Poésy จาก Harry Potter) บอกในหนังและในเทรลเลอร์ นั่นก็คือ “Don’t try to understand it. Feel it.” หรือพูดง่าย ๆ คือ อย่าคิดเยอะ อย่าใช้สมองเยอะ ใช้แค่ความเชื่อ/ความรู้สึก เพราะถ้า ณ ขณะรับชม เรามัวแต่คิดตามทุกอย่าง พยายามจับผิดหาช่องโหว่ หรือไปพยายามเข้าใจมันทุกดีเทล โดยเฉพาะหลักการฟิสิกส์ต่าง ๆ เพราะมันจะทำให้เรายิ่งหลุดจากเรื่องราวต่อ ๆ ไปของหนัง แล้วจะยิ่งงงไปกันใหญ่
เบื้องต้นอยากให้มองว่า TENET เป็นหนังแอ็คชั่นหรือหนังสายลับกู้โลกทั่วไป ทำหัวให้โล่ง ทำใจให้กว้าง แล้วจะพบว่ามันไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น นึกภาพตามอีกอย่าง ถ้าเราต้องมาดูหนังและจริงจังกับหลักฟิสิกส์ทุกเรื่อง เราก็คงดู Fast & Furious และหนังแอ็คชั่นทุกเรื่องบนโลกไม่สนุกกันไปหมด จริงมั้ย?
อีกอย่างคือ ต้องเข้าใจชัด ๆ ก่อนว่า นี่ไม่ใช่หนังย้อนเวลาหาอดีตหรือแก้ไขอดีต (Time Travel) แบบหนัง Back To The Future, Harry Potter ภาค 3, About Time, หรือไทม์แมชชีนของโดเรมอน ที่พวกเราคุ้นเคย เพราะสำหรับ Nolan และนักวิทยาศาสตร์บางท่านเค้าเชื่อว่า การที่ปัจจุบันเราย้อนเวลาไปฆ่าปู่ตัวเองในอดีต แล้วตัวเองจะไม่ได้เกิดมาในอนาคต มันคือ “Grandfather Paradox” พูดอีกอย่างคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ตัวเอง เพราะถ้าปู่ตาย เราก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อย้อนเวลาไปฆ่าปู่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ในการสร้างจักรวาลใหม่หรือจักรวาลคู่ขนาน (multiverse) ที่แตกต่างจากจักรวาลเดิมออกไป อย่างที่กำลังเป็นเทรนด์ในการสร้างหนังหลายเรื่องในยุคนี้
อย่างไรก็ตาม TENET เชื่อว่า อะไรที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขไม่ได้. (“What’s happened, happened.”) มันคือ Time inversion คือแก้ไขไม่ได้ แล้ว invert ไปทำไม? แก้ไขไม่ได้แต่อาจจะสามารถช่วยซัพพอร์ตได้ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และได้ไปย้อนดูสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในมุมมองที่แตกต่าง หรือได้ดู “ผลก่อนเหตุ”. แทน “เหตุก่อนผล” ทั้งนี้ เหมือน Nolan มองเวลาเป็น loop มากกว่าจะมองเป็น line เส้นตรงตามหลักสากลที่ว่า “ปัจจุบัน” อยู่ตรงกลาง ระหว่างอดีตกับอนาคต
แล้ว time loop ของหนังเรื่องนี้มี 3 เหตุการณ์สำคัญที่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบวันเดียวกัน ได้แก่ เหตุการณ์ในโอเปร่าเฮ้าส์ที่ Kiev เหตุการณ์บนเรือยอชต์ในทะเลเวียดนาม และสนามรบในองก์สุดท้ายของหนัง ณ Stalask-12 ที่หน่วยของตัวเอกแบ่งเป็นทีมแดง-ทีมน้ำเงิน (ทั้งสองทีมก็คือคนเดียวกัน โดยทีมแดง move forward และทีมน้ำเงิน move backward พร้อมใช้ข้อมูลหรือสิ่งที่ทีมแรกพบเจอในการรบ) ส่วนฉากที่ Freeport และฉากไล่ล่าบนไฮเวย์ อยู่ตรงกลางของลูปดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ฉากจบในหนัง TENET ที่ Protagonist แยกทางกับ Neil ก็ยังไม่ใช่ตอนจบขององค์กร Tenet อยู่ดีเช่นกัน ตรงกันข้าม กลับเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดตรงกลางเสียด้วยซ้ำ ตามที่ Neil บอกก่อนลาว่า พบกันครึ่งทาง และไม่ว่าจะยังไง Neil ก็ต้องตายเพราะช่วย Protagonist อยู่ดี โดย Neil ได้เผยด้วยว่า Protagonist เป็นคน recruit เค้าให้มาอยู่ Tenet ซึ่งเห็นได้ว่า มันเหมือน “ไก่กับไข่” มันเป็นลูป พระเอกอาจจะเป็นคนเลือก Neil เพราะสิ่งที่ Neil ทำอาจบันดาลใจให้เพระเอกทำ Tenet และเลือก Neil เข้าทีม หรือ Neil อาจจะเป็นคนเลือกพระเอกเองแต่แรกก็ได้ เรามิอาจรู้ได้ และ Nolan มักแฝงอะไรเป็นเชิงสัญลักษณ์เข้ามาในภาพโดยไม่ใช้คำพูด
ยกตัวอย่างเช่น ในหนังจะมีภาพรถไฟที่วิ่งสวนกันสองรางฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของตัวเอก หรือภาพกังหันหมุนจำนวนมากกลางทะเล ซึ่งไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า สิ่งเหล่านั้นกำลังมูฟไปข้างหน้าหรือถอยหลัง (forward or backward) ตั้งแต่ชื่อหนังเอง “TENET” ก็เป็น palindrome หมายความว่า คำสามารถเขียนและอ่านได้ทั้งจากข้างหน้าไปข้างหลังและจากข้างหลังไปข้างหน้าเช่นกัน (เช่น madam, civic, radar, refer, level ฯลฯ) นอกจากนี้ ยังมีการแฝง Sator Square อันประกอบด้วยคำ 5 คำ ได้แก่ SATOR, AREPO, TENET, OPERA, ROTAS มาไว้ในชื่อหรือสถานที่ต่าง ๆ ในหนังอีกด้วย
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวละครไหนกำลัง move forward หรือ move backward? หนังจะอธิบายประมาณกลางเรื่องแหละว่า ผู้ที่จะ invert และออกไปนอกพื้นที่ปิด จะต้องใส่ oxygen mask หรือกักตัวในพื้นที่ปิดสักระยะก่อน เพราะตัวเขา inverted ก็จริง แต่โลกหรืออากาศที่ใช้หายใจไม่ได้ inverted ไปกับเขาด้วย นอกจากนี้ก็มีกฎอีกข้อคือ เมื่อ invert ไปแล้ว ห้ามโดนตัวตัวเองโดยตรง ไม่งั้นจะบู้มทั้งคู่
เวลาที่เรา move forward หรือไม่ได้ invert เราจะเห็นว่า entropy จะคงอยู่อย่างนั้นหรือไม่ก็เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น ไม้ที่เผาไฟจนกลายเป็นเถ้าผงธุลี หรือน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำในแก้ว หรือกระจกแตกกลายเป็นเศษแก้วหรือกระทั่งเม็ดทราย ซึ่งผงกับน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ disorder หรือไม่ได้เป็นก้อน ๆ เหมือนไม้หรือน้ำแข็ง แล้วถ้าเราเห็นอะไรที่ disorder แบบนี้ลดลง เช่น กระจกที่เป็นรูกระสุนค่อย ๆ คืนฟอร์มกลายเป็นกระจกปกติ อันนั้นคือการ move backward ถ้าเป็นการ invert สิ่งของ เราคิดว่าหนังสามารถใช้ CGI หรือ special effect ได้ไม่ยาก แต่ความยากยิ่งกว่าคือการกระทำหรือ action ของตัวละครที่เป็นคนต่างหาก ซึ่ง Nolan ก็ยังเลือกใช้ CGI น้อยมาก โดยเขาให้นักแสดงถ่ายทำเหมือนเดิมสองรอบ รอบที่ตัวละครต้อง invert ก็คือต้องทำทุกอย่างอย่าง invert เองจริง ๆ เช่น Kenneth Branagh ที่ต้องฝึกซ้อมและพูดภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียแบบย้อนกลับด้วยตัวเอง หาใช่การกรอเทปเสียงไม่
ดังนั้น TENET มันคือหนังที่ทะเยอทะยานแต่ก็ฉลาดล้ำมากในคราวเดียวกัน คู่ควรแก่การรับชมเป็นอย่างยิ่ง
cr.kwanmanie