Movie Critical

Dunkirk ดันเคิร์ก

Director: Christopher Nolan
Writer: Christopher Nolan
Actors: Mark Rylance, Kenneth Branagh, Tom Hardy, Cillian Murphy, Harry Styles, James D’Arcy
Runtime: 1 hrs. 46 min.

Studio:
Warner Bros
Composer: Hans Zimmer

 

 

“Survival is enough,”

เสน่ห์ของหนัง Christopher Nolan ที่เราชอบคือ เกือบทุกเรื่องของเสด็จพ่อ เราดูรอบเดียวไม่เคยพอ ไม่ว่าจะเป็น Interstellar, The Dark Knight, Inception, The Prestige, และ Memento ฯลฯ มันต้องดูซ้ำเพื่อเก็บรายละเอียด หรือดูรอบสองเพื่อทำความเข้าใจในจุดที่เรามองข้ามไปตอนดูรอบแรก รวมถึงประเด็นที่เสด็จท่านต้องการจะสื่อให้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ คือ เราชอบที่เราได้ใช้สมองในขณะที่ได้ดูหนังที่สนุก
แต่สำหรับ Dunkirk เราไม่จัดอยู่ในหมวดของหนัง Nolan ที่เรารู้สึกว่าเราจำเป็นต้องดูซ้ำ เพราะเรื่องนี้แทบไม่มีเนื้อเรื่องและไดอะล็อกอะไรให้ใช้สมองคิดตามมากมายเลย ถ้าจะดูอีก ก็คงเป็นเพราะอยากไปเสพงานภาพ งานซาวนด์ และงานสกอร์ของ Hans Zimmer ในโรง IMAX อีกก็เท่านั้น (ใครไม่รู้จัก ไป Google ดูผลงานเขาได้ ชิงออสการ์มาหลายเรื่องมาก)

หนังไม่เท้าความอะไรเยอะ ไม่บอกเล่าเก้าสิบเลยว่า Dunkirk คืออะไร เป็นมาอย่างไร และบทสรุปของสงครามเป็นอย่างไร เพราะเน้นแต่สถานการณ์การเฉียดตาย การเอาตัวรอด และอารมณ์ความรู้สึกของชายอังกฤษผู้อยู่ในสมรภูมิรบ

จากข้อมูลในวิกิพีเดีย เราได้ความมาว่ายุทธการ Dunkirk เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 26 พ.ค. – 4 มิ.ย. 1940 ในขณะนั้นทหารอังกฤษกับฝรั่งเศส (ฝ่ายสัมพันธมิตร) กว่า 400,000
นายกำลังถูกพวกเยอรมันหรือนาซีล้อมไว้ตลอดชายฝั่งช่องแคบ อังกฤษก็พยายามส่งเรือรบมารับทหารอพยพกลับมาตุภูมิให้ได้มากที่สุดก่อนที่พื้นที่จะถูกยึดและทหารจะถูกสอยกันไปหมด

สำหรับหนัง Dunkirk เสด็จพ่อ Nolan ยังคงเล่นอยู่กับเรื่องของ time หรือเวลา แต่เรื่อง Dunkirk ถือว่าดูง่ายที่สุด ซับซ้อนที่สุด และหนังสั้นที่สุด เมื่อเทียบกับ Interstellar, Inception, และ Memento หนัง Dunkirk เล่าตัดสลับไปมาระหว่างกลุ่มคนสามกลุ่ม ดังนี้…

1. The Mole / on the beach / a week / to survive

– กลุ่มนี้นำโดยสามหนุ่มบอยแบนด์ ประกอบไปด้วย Tommy (Fionn Whitehead), Gibson (Aneurin Barnard), และ Alex (Harry Styles วง One Direction) แล้วก็มีผู้บัญชาการยศใหญ่อยู่หนึ่งคนคือ Commander Bolton (Kenneth Branagh จาก Jack Ryan: Shadow Recruit)
– เป็นพลทหารเกณฑ์ ไม่รู้ตาสีตาสา เน้นเอาตัวรอด ขึ้นเรือให้ได้ หลบกระสุน/ระเบิดให้ทัน และมีจุดมุ่งหมายเดียวคือ กลับบ้าน
– ต้องแข่งกับเวลา ต้องรีบออกจากพื้นที่ให้ทันก่อนเยอรมันจะแห่กันมา
– ชัยชนะของพวกนี้คือ การชนะความตายนี่แหละ ถ้ารอดกลับถึงบ้านได้ก็เท่ากับชนะ
– แต่จริง ๆ กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ทำอะไรไม่ได้มาก หนีไปไหนไม่ได้เลย ชีวิตจะอยู่จะไปก็ขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ ที่เห็นทำได้ก็ได้แต่รอเวลา รอเรือมาช่วยไปวัน ๆ (หรือรอเวลาตายซึ่งจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทุกนาที) ซึ่งแน่นอนว่า เวลารอคอยอะไรสักอย่าง มันมักจะแลดูนานแสนนาน
– ประเด็นที่น่าสนใจของพาร์ทนี้นอกจากการเอาตัวรอดคือ การแบ่งแยกกีดกัน เช่น เรืออังกฤษจะรับแต่ทหารอังกฤษเท่านั้น ทหารฝรั่งเศสขึ้นไม่ได้ ทั้งที่ทั้งสองชาติสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ฝ่ายเดียวกันมาแท้ ๆ
– พูดไม่ค่อยเยอะ มีแต่ Harry Styles ที่ดูพูดเยอะสุด (ถือว่าออกเยอะอยู่เมื่อเทียบกับนักร้องดังคนอื่นที่มาโผล่บนแผ่นฟิล์ม)
– ตลอดเวลาความยาว 1 ช.ม. 46 นาทีของหนังที่เราดู คนพวกนี้อยู่ที่หาดนี้เป็นเวลาทั้งสิ้น 1 สัปดาห์

2. The Sea / on the boat / a day / to rescue

– กลุ่มนี้มีตัวละครหลักเป็นพลเรือนขับเรือยอร์ชสามคน ได้แก่ Mr. Dawson (Mark Rylance นักแสดงออสการ์จาก Bridge of Spies), ลูกชายของเขา Peter (Tom Glynn-Carney), และเพื่อนของลูกชายของเขา George (Barry Keoghan จาก ’71) ที่กำลังแล่นเรือไปช่วยชีวิตทหารที่รอดชีวิต
– ถึงพาร์ทนี้จะไม่มีความบู๊แอ็คชั่น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพาร์ทที่สวยงามที่สุดในหนังสงครามเรื่องนี้ และ Mark Rylance แสดงดีที่สุดในเรื่อง
– กลุ่มนี้เน้นทำดี เข้าไปช่วยชีวิตทหารอย่างไม่รักตัวกลัวตาย (แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้วิธีเอาตัวเองให้รอดก่อนจะไปช่วยชาวบ้านด้วย) แต่เราก็แอบเข้าไม่ถึงกับตัวละครเด็ก George อยู่นิดนึงนะ งืม ๆ
– ต้องแข่งกับเวลาเหมือนกัน คือต้องไปช่วยพวกทหารกลุ่มแรกให้ทันก่อนทหารเยอรมันจะมายึดพื้นที่ เวลาของพวกเขาอาจเท่ากับจำนวนทหารที่รอดตายกับทหารที่ไม่รอดตายเลยก็ว่าได้
– ระหว่างทางได้เก็บทหารขึ้นเรือมาด้วยคนนึง (Cillian Murphy จาก Inception) ซึ่งช็อค เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายมา ไม่อยากกลับไปยังสมรภูมิอีก
– ตลอดเวลาความยาว 1 ช.ม. 46 นาทีของหนังที่เราดู พวกเขาอยู่บนเรือลำนี้เป็นเวลาทั้งสิ้น 1 วัน

3. The Air / on the plane / an hour / to protect

– กลุ่มนี้เป็นนักบิน RAF (Royal Air Force) มีแค่ Farrier (Tom Hardy จาก Mad Max) กับ Collins (Jack Lowden จาก ’71)
– มีหน้าที่คอยยิงคุ้มกันทหารราบ และสอยเครื่องบินรบของเยอรมันให้เรียบก่อนที่มันจะฆ่าพี่น้องของเขา
– ตัวละครของ Tom Hardy มีความเป็นทหารหรือนักบินอาชีพ เสียสละ เห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง ซึ่ง Tom Hardy แสดงออกมาทางท่าทางและแววตาหมด เล่นดี ๆ (เรื่องนี้เขาต้องใส่หน้ากากทั้งเรื่องอีกแล้ว!)
– ต้องแข่งกับเวลา เพราะเครื่องบินของเขาน้ำมันจะหมด มาตรวัดขีดน้ำมันก็เสีย (คือน้ำมันจะหมดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้) เวลาของเขาจึงเหมือนผ่านไปเร็วมาก และทุกวินาทีโคตรมีค่า (มีค่าเท่ากับเพื่อนทหารเป็นหมื่นเป็นแสนนาย)
– ตลอดเวลาความยาว 1 ช.ม. 46 นาทีของหนังที่เราดู พวกเขาไฟต์อยู่กลางอากาศเป็นเวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง

Dunkirk ในฐานะที่เป็นหนังสงครามในแบบที่เราไม่เคยดูมาก่อน คือมันไม่มีฉากโหด ๆ เลือดสาด ไส้ทะลัก ฯลฯ อย่าง Saving Private Ryan กับ Hacksaw Ridge และไม่เห็นหน้าทหารเยอรมันสักคนเลยด้วยซ้ำ แต่พาเราไปเน้นสัมผัสประสบการณ์การเฉียดตายหวุดหวิด และการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดเสี่ยงโชคของพวกทหารเหล่านี้

มันก็เป็นหนังดี มีความบีบคั้น ลุ้นระทึก และชวนเครียดอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่นั่นเพราะการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงพาไปล้วน ๆ ซึ่งตรงนี้ต้องยกเครดิตความดีความชอบให้งานซาวนด์-งานสกอร์เลย ที่บิลด์อารมณ์ได้สุด ๆ

หากใครได้ดูในโรงหนัง IMAX ที่เป็น 7omm film จะเห็นทหารหลายร้อนพันหมื่นแสนนายตัวเท่ามดยืนเรียงรายนับหัวไม่ถ้วนบนภาพใหญ่ยักษ์อลังการไร้ขอบจอ เสมือนเราได้ไปอยู่ใจกลางเวลาและมหาสมุทรที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของขอบฟ้าขอบทะเล

อย่างที่บอกในตอนต้น ปกติเราชอบหนัง Nolan เพราะมันเป็นหนังดูสนุกที่ได้ใช้สมอง เคยร้อง Wow! หรือหมกมุ่นกับการตีความกับหนังของเขามาแทบทุกเรื่อง แต่พอ Dunkirk มันขาดสิ่งที่เราชอบที่สุดในตัวหนัง Nolan ไป โดยส่วนตัวเราอินและเอ็นจอยกับเรื่อง Hacksaw Ridge ที่เพิ่งดูไปต้นปีมากกว่า อันนั้นคือมันก็ลุ้นระทึกเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่า เราดูเรื่องนั้นแล้ว เราได้อะไรมากกว่าแค่ “ประสบการณ์ร่วมกับตัวละคร” อย่างเดียวแต่ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัว วอนสาวกลัทธิ Nolan อย่าว่ากัน