บทเรียนจากฟากฟ้า สู่โศกนาฏกรรมอิคารัส ถึงฝันแห่งอนาคต

การออกแบบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ความมหัศจรรย์ที่เราไม่ทันสังเกต
ในโลกของเรานั้น ทุกสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ปัญหาของอะไรบางสิ่งบางอย่างเราจึง คิด วิธีการที่จะแก้ปัญหาเพื่อมุ่งไปข้างหน้าสู่อนาคตโดย สร้าง เส้นทางในการก้าวไปข้างหน้า และต่อให้คิดและสร้างแล้ว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จหากพวกเรายังไม่ได้ “ออกแบบ” เส้นทางดังกล่าวนั้นอย่างถูกต้อง ซึ่งการออกแบบในที่นี้ไม่ใช่แค่การออกแบบในเชิงรูปธรรม หรือออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่หมายถึงการออกแบบในเชิงโครงสร้าง ออกแบบวิธีคิด และวิธีการทำงาน ด้วยเหตุนี้ต่อให้เจอปัญหาก็สามารถใช้กระบวนการคิดและออกแบบวิธีแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์

——————————————


เครื่องบินในตำนานและนิทานปรัมปรา

ภาพ “Landscape with the Fall of Icarus” ซึ่งแสดงตำนานอิคารัสที่บินสูงเกินไปจนปีกขี้ผึ้งละลายและตกลงสู่ทะเล

Painting By Joos de Momper the Younger

มนุษย์ใฝ่ฝันถึงการบินมาช้านาน ซึ่งปรากฏในนิทานปรัมปราและตำนานหลากหลายทั่วโลก เรื่องราวอิคารัส (Icarus) ในตำนานเทพเจ้ากรีกเป็นตัวอย่างที่โด่งดังอย่างมาก เล่ากันว่า อิคารัสและบิดา ดีดาลัส (Daedalus) ประดิษฐ์ปีกที่ทาด้วยขี้ผึ้งยึดขนนกเอาไว้ เพื่อบินหนีการถูกจองจำ เมื่อเริ่มบินดีดาลัสเตือนบุตรอย่าบินสูงใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป แต่อิคารัสที่ตื่นเต้นและดีใจกลับบินสูงขึ้นจนความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ขี้ผึ้งละลาย ปีกหลุดออกและอิคารัสก็ร่วงตกสู่ทะเลเสียชีวิต[1][2] ตำนานนี้มักถูกยกเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเรื่อง ความโอหัง และขีดจำกัดของมนุษย์ อิคารัสเป็นตัวอย่างของคนที่หลงระเริงและเย่อหยิ่งจนพบกับหายนะในที่สุด[3]

นอกจากอิคารัส ตำนานจากวัฒนธรรมอื่นก็สะท้อนความใฝ่ฝันเกี่ยวกับการบินเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในมหากาพย์อินเดียมีเรื่องพุษปกวีมัน (Pushpaka Vimana) ซึ่งเป็นราชรถลอยฟ้าของท้าวราวณะ ถือเป็นพาหนะเหาะเหินของเทพตามคติฮินดู[4]
Painting By Tej Kumar Book Depo

จีนเองมีเรื่องเล่าถึงสิ่งประดิษฐ์คล้ายว่าวนกไม้ของช่างเอกหลู่ปันที่ว่ากันว่าเคยสร้างนกไม้บินได้อยู่บนฟ้าได้นานสามวัน ถือเป็นตำนานการบินยุคโบราณของจีน (ซึ่งนักวิชาการปัจจุบันตีความว่าอาจหมายถึงว่าวแบบแรกๆ)[5]
Illustration By  ความฝันในหอแดง โดยซุนเหวิน ราชวงศ์ชิง

Photo By Rolfmueller

ขณะที่ในตะวันออกกลาง เราพบตำนานพรมวิเศษที่ใช้เหาะเหินเดินทางอย่างอัศจรรย์[6] สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงจินตนาการของมนุษย์ที่อยากเอาชนะแรงโน้มถ่วงฟ้า บ้างก็แฝงคติเตือนใจว่าการท้าทายขอบเขตของมนุษย์หรือเทพเจ้าอาจนำภัยมาสู่ตน ดังที่เรื่องอิคารัสสอนว่าอย่าบินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เกินไปนั่นเอง
Painting By Viktor Vasnetsov 

ประวัติศาสตร์การบินยุคแรกถึงยุคเจ็ท

ในโลกความจริง ความฝันที่จะบินเริ่มเป็นจริงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สองพี่น้องตระกูลไรต์ (ออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรต์) ได้สร้างเครื่องบินที่บินได้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1903 ณ คิตตี้ฮอว์ก มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา โดยเครื่องบินปีกสองชั้นชื่อ “ไรต์ฟลายเออร์” (Wright Flyer) ของพวกเขาสามารถบินได้ต่อเนื่องด้วยเครื่องยนต์ที่มีคนบังคับ นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคการบินสมัยใหม่[7] เที่ยวบินครั้งประวัติศาสตร์นั้นกินเวลาเพียง 12 วินาที แต่ก็พิสูจน์ว่า อากาศยานหนักกว่าอากาศที่มีเครื่องยนต์ บินขึ้นได้จริง ซึ่งจุดประกายให้เกิดการพัฒนา “เครื่องจักรเหินฟ้า” อย่างกว้างขวางทั่วโลก[8]
Photo By John T. Daniels

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เครื่องบินถูกนำมาใช้งานทางการทหาร ช่วยเร่งให้เทคโนโลยีการบินก้าวหน้า จากเครื่องบินปีกผ้าใบที่เปราะบาง กลายเป็นเครื่องบินรบที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกันนั้นในทศวรรษ 1920 การบินพลเรือนก็เริ่มต้นขึ้นหลังสงครามมีบริการไปรษณีย์ทางอากาศและสายการบินพาณิชย์ยุคแรกก็ถือกำเนิดขึ้น สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายส่งเสริมการบินพาณิชย์ปี 1925 ตามมาด้วยสายการบินต่างๆ (Pan Am, Western Air, Ford Air ฯลฯ) ที่เริ่มให้บริการผู้โดยสารตามเส้นทางประจำ ในช่วงกลางทศวรรษ 1930 สายการบินหลักๆ ของสหรัฐอเมริกาอย่าง United, American, TWA และ Eastern ได้ก่อตั้งและกลายเป็นผู้เล่นหลักของการบินพาณิชย์ไปตลอดศตวรรษ[9] ถือเป็นยุคที่การบินพลเรือนเริ่มได้รับความนิยม แม้ช่วงแรกการบินยังคงมีความเสี่ยงสูงและต้องพึ่งการมองเห็นเส้นทาง (นักบินต้องบินต่ำตามเส้นทางถนน/รถไฟ เพราะยังไม่มีเครื่องมือช่วยนำร่องที่ดี) แต่เทคโนโลยีก็ค่อยๆ พัฒนาปรับปรุงความปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ
Photo by  Smithsonian Institution, National Air and Space Museum, copy of Signal Corps print

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญถัดมา คือการคิดค้นเครื่องยนต์เจ็ท ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 เครื่องบินเจ็ทลำแรกของโลกคือ ฮีนเคล He 178 ของเยอรมนี สามารถบินด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ทได้สำเร็จเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1939 ซึ่งเร็วกว่าการพัฒนาเครื่องบินเจ็ทของอังกฤษ (Gloster E.28/39) เกือบสองปี[10][11] Photo By planehistoria.com
Photo By © 2017, Bryan R. Swopes

Photo By USAF
Photo By Gloster Meteor Mk III 
อย่างไรก็ดี เครื่องบินเจ็ทเริ่มถูกนำมาใช้งานจริงในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีส่งเครื่องบินไอพ่นเข้าสนามรบเช่น Me 262 (เครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นแรก) ในปี 1944 ขณะที่อังกฤษก็มี Gloster Meteor ออกปฏิบัติการไล่เลี่ยกัน หลังสงคราม เทคโนโลยีไอพ่นถูกปรับใช้กับการบินพลเรือน

เปิดยุคใหม่ที่เรียกว่า เครื่องบินเจ็ท (Jet Age) 

ยุคเครื่องบินเจ็ทในเชิงพาณิชย์เริ่มต้นจริงจังราวปี 1952 เมื่อสายการบิน BOAC ของอังกฤษนำเครื่องบินเจ็ทโดยสารแบบ เดอฮาวิลแลนด์ คอมเม็ต (de Havilland Comet) ซึ่งจุผู้โดยสาร 36 ที่นั่ง ให้บริการเที่ยวบินประจำเส้นทางแรกของโลก ความเร็วเดินทางราว 480 ไมล์/ชม ซึ่งเร็วกว่าเครื่องบินใบพัดรุ่นก่อนหน้า (อย่าง DC-3 ที่ทำได้ ~180 ไมล์/ชม) เกือบสามเท่า[12]
Photo By BBC

แม้ช่วงแรกจะพบปัญหาด้านโครงสร้างจนต้องหยุดบินชั่วคราว แต่ยุคเจ็ทก็ได้มาถึงอย่างแท้จริงในปลายทศวรรษ 1950 เมื่อเครื่องบินไอพ่นรุ่นอเมริกันอย่าง โบอิ้ง 707 และ ดักลาส DC-8 เข้าประจำการปี 1958 ทำให้การเดินทางข้ามมหาสมุทรเป็นเรื่องง่ายขึ้น ผู้คนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทางอากาศมากกว่าทางเรือเป็นครั้งแรกในปี 1959[13][14] เครื่องบินเจ็ทยุคใหม่นี้บินได้สูง เร็ว และไกลกว่าเดิม อีกทั้งจุผู้โดยสารได้มาก ส่งผลให้ค่าโดยสารต่อคนถูกลง การเดินทางทางอากาศจึงแพร่หลายสู่คนทุกชนชั้น ไม่ใช่แค่ชนชั้นสูงอีกต่อไป โลกทั้งใบถูกร้อยเรียงใกล้ชิดกันในยุค “หมู่เจ็ท” (Jet set) อันเป็นผลโดยตรงจากการที่เครื่องบินทำให้การเดินทางระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติ[15]
Photo By The Boeing Company

ในปี 1976 มนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดความเร็วเสียงในเชิงพาณิชย์ด้วยเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง คองคอร์ด (Concorde) ซึ่งอังกฤษและฝรั่งเศสพัฒนาร่วมกัน คองคอร์ดบินด้วยความเร็วกว่า Mach 2 (มากกว่า 2 เท่าของเสียง) ย่นเวลาเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรลงกว่าครึ่ง (ลอนดอน–นิวยอร์กใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม เครื่องบินความเร็วเหนือเสียงรุ่นบุกเบิกนี้ประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งต้นทุนการบินสูง เสียงโซนิคบูมดังรบกวน และจำนวนผู้โดยสารน้อย ทำให้ไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ หลังให้บริการกว่า 27 ปี ในที่สุดคองคอร์ดก็ปลดระวางในปี 2003[16] แต่ถึงกระนั้น คองคอร์ดก็ได้พิสูจน์ว่าวิสัยทัศน์การโดยสารด้วยความเร็วเหนือเสียงเป็นไปได้ และเป็นแรงบันดาลใจให้มีความพยายามพัฒนาเครื่องบินเหนือเสียงรุ่นใหม่ๆ ในเวลาต่อมา
Photo By Memories of Concorde

ปัจจุบันและอนาคตของการบิน

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินยังคงพัฒนาไม่หยุดยั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและเทคโนโลยีล้ำยุค ทั้งเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและยกระดับประสบการณ์การเดินทาง แนวโน้มสำคัญประการหนึ่งคือการพัฒนาเครื่องบินที่ใช้พลังงานสะอาดหรือลดการปล่อยมลพิษ ตัวอย่างเช่น เครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Impulse 2 ที่สามารถบินรอบโลกได้สำเร็จเป็นลำแรกโดยไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลย ตลอดการเดินทางกว่า 40,000 กิโลเมตรรอบโลก (เริ่มต้นและสิ้นสุดที่อาบูดาบี ปี 2015-2016) เครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ลำนี้อาศัยเซลล์สุริยะกว่า 17,000 แผงบนปีกชาร์จแบตเตอรีระหว่างวันเพื่อให้บินต่อเนื่องทั้งคืน โดยใช้เวลาบินรวมกว่า 550 ชั่วโมง และพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงศักยภาพของพลังงานสะอาดในอนาคตการบิน[17][18]
Photo By Next Step

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามพัฒนาเครื่องบินไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรีเป็นพลังงาน เช่น เครื่องบินต้นแบบขนาดเล็กของบริษัทต่างๆ ที่เริ่มทดลองบินแล้ว แม้ปัจจุบันข้อจำกัดด้านน้ำหนักและความหนาแน่นพลังงานของแบตเตอรีจะทำให้ยังใช้งานในระยะทางไกลไม่ได้ แต่เครื่องบินไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับเส้นทางระยะสั้นหรือเครื่องบินฝึกหัดก็เริ่มปรากฏ เช่น เครื่องบินไฟฟ้าสัญชาติอิสราเอล “Alice” ของบริษัท Eviation ที่ทดลองบินครั้งแรกในปี 2022 และมีแผนรองรับผู้โดยสาร 9 ที่นั่งในเส้นทางภูมิภาค การพัฒนาแบตเตอรีและมอเตอร์ไฟฟ้าที่เบาประสิทธิภาพสูงจะเป็นกุญแจให้เครื่องบินไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทศวรรษที่จะถึงนี้
Photo By airfreight-logistics.com

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ของยุโรปอย่าง Airbus กำลังทุ่มทรัพยากรกับแนวคิดเครื่องบินไฮโดรเจน เพื่อบรรลุเป้าหมายการบินปลอดคาร์บอนภายในปี 2035 โครงการ “ZEROe” ของ Airbus เผยภาพแนวคิดเครื่องบินพาณิชย์หลายรูปแบบที่จะใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลวร่วมกับเซลล์เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนใบพัดหรือไอพ่น แทนที่การใช้น้ำมันเครื่องบินแบบเดิม[19] ไฮโดรเจนมีพลังงานต่อมวลสูงกว่าน้ำมันและเมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจะให้เพียงน้ำเป็นผลผลิต ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง ซึ่งหากแก้ปัญหาด้านการจัดเก็บเชื้อเพลิง (ไฮโดรเจนต้องเก็บในสถานะเหลวที่อุณหภูมิ -253°C) และโครงสร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ก็จะเป็นก้าวกระโดดสำคัญสำหรับการบินสีเขียวในอนาคต
Photo By Scienceex

ขณะเดียวกัน หลังจากยุคคองคอร์ด การบินความเร็วเหนือเสียงกำลังจะกลับมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเดิม ปัจจุบันทั้งหน่วยงานรัฐบาลและเอกชนต่างวิจัยพัฒนาเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ โดยมุ่งแก้ปัญหาเรื่องเสียงโซนิคบูมและความคุ้มค่าทางพาณิชย์ องค์การนาซ่า (NASA) ร่วมกับบริษัทล็อกฮีดมาร์ตินกำลังสร้างเครื่องบินทดลอง X-59 “Quiet Supersonic” ซึ่งออกแบบพิเศษให้รูปร่างเพรียวยาวและใช้เทคนิคลดแรงกระแทกอากาศ เพื่อให้เกิดเพียง “เสียงดังโครมเบา” (sonic thump) แทนที่จะเป็นเสียงบูมดังสนั่นเมื่อบินทะลุกำแพงเสียง เป้าหมายคือทดสอบให้บินเหนือเสียงได้เงียบพอที่จะอนุญาตให้บินเหนือพื้นดินโดยไม่รบกวนชุมชน หากสำเร็จจะเปิดทางสู่เครื่องบินพาณิชย์เหนือเสียงรุ่นใหม่ในอนาคต[20][21] เครื่อง X-59 มีกำหนดบินทดสอบครั้งแรกในปี 2025 และจะรวบรวมข้อมูลเสียงส่งให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกพิจารณาปรับปรุงกฎการบินเหนือเสียงต่อไป
Illustration By Lockheed Martin

ฝั่งภาคเอกชนก็มีสตาร์ทอัพอย่างบริษัท Boom Supersonic ที่กำลังพัฒนาเครื่องบินโดยสารเหนือเสียงชื่อ “โอเวอร์เชอร์ (Overture)” ซึ่งคาดว่าจะใช้งานจริงได้ราวปี 2029 เครื่องโอเวอร์เชอร์ตั้งเป้าความเร็วเดินทางประมาณ Mach 1.7 (เร็วประมาณ 2 เท่าของเครื่องบินโดยสารปัจจุบัน แต่ยังต่ำกว่าคองคอร์ดเล็กน้อย) และมีระยะบินไกลพอสำหรับเส้นทางข้ามมหาสมุทร สายการบินหลายแห่งเช่น United Airlines และ American Airlines ได้สั่งจองเครื่องบินรุ่นนี้ล่วงหน้าแล้ว โดยโอเวอร์เชอร์จะบรรทุกผู้โดยสารราว 65–88 ที่นั่ง และตั้งใจให้ค่าโดยสารใกล้เคียงชั้นธุรกิจในปัจจุบัน[22][23] หากโครงการเป็นไปตามแผน โลกเราจะได้เห็นการกลับมาของเที่ยวบินความเร็วเหนือเสียงเชิงพาณิชย์อีกครั้งภายในทศวรรษหน้า ซึ่งจะย่นเวลาการเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ทั่วโลกลงอย่างมาก (เช่น ลอนดอน–นิวยอร์ก ~3.5 ชั่วโมง)
Photo By flyingmag.com

นอกเหนือจากบรรยากาศโลก เทคโนโลยีการบินของมนุษย์ก้าวไปถึงขอบอวกาศและเลยไปไกลกว่านั้นในปัจจุบัน การเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ ที่เคยอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์กำลังเริ่มเป็นจริง โครงการอวกาศต่างๆ ในยุคหลังได้นำยานอวกาศและยานบินเข้ามาเชื่อมต่อกับขอบเขตการบินของมนุษย์ ตัวอย่างชัดเจนคือยุคการท่องเที่ยวอวกาศที่เริ่มขึ้นแล้วในปี 2021 บริษัทเอกชนอย่าง Virgin Galactic และ Blue Origin ได้ส่งพลเรือนขึ้นไปสัมผัสสภาวะไร้น้ำหนักที่ขอบอวกาศสำเร็จ – ในเดือนกรกฎาคม 2021 Virgin Galactic ส่งเครื่องบินอวกาศ SpaceShipTwo พร้อมนักบิน 2 นายและลูกเรือ 4 คน (รวมถึงเซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของบริษัท) บินขึ้นถึงความสูงเกือบ 90 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก ซึ่งถือเป็นขอบเขตอวกาศแบบสหรัฐฯ ทุกคนได้สัมผัสภาวะไร้น้ำหนักประมาณ 4 นาทีแล้วกลับลงมาจอดอย่างปลอดภัย[24] เพียงไม่กี่วันถัดมา Blue Origin ของเจฟฟ์ เบโซสก็ส่งจรวด New Shepard พร้อมผู้โดยสาร 4 คน (รวมเบโซสและนักบินอวกาศอาวุโส Wally Funk) ขึ้นสู่อวกาศเกินเส้นคาร์มานที่ ~107 กิโลเมตร และกลับลงมาด้วยแคปซูลอย่างน่าประทับใจ[25] เหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นหมุดหมายที่ทำให้การท่องเที่ยวอวกาศไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป ขณะเดียวกัน SpaceX ของอีลอน มัสก์ ก็กำลังพัฒนา ยาน Starship ขนาดใหญ่ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะใช้ขนส่งมนุษย์ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารในอนาคตอันใกล้[26] ความคืบหน้าเหล่านี้บ่งชี้ว่าในศตวรรษที่ 21 การบินของมนุษย์จะไม่ได้จำกัดแค่ในบรรยากาศโลก แต่จะครอบคลุมถึงการเดินทางสู่อวกาศและดาวอื่น ๆ ด้วย ซึ่งนับเป็นการขยายขอบเขต “ปีกแห่งมนุษย์” ที่บรรพบุรุษของเราเคยฝันไว้อย่างก้าวกระโดด
Illustration By virgingalactic.com

เครื่องบินในวัฒนธรรมและสังคม

นับแต่มนุษย์บินได้สำเร็จ เครื่องบินก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของโลกสมัยใหม่ แทรกซึมอยู่ในหลากหลายมิติของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ วรรณกรรม ศิลปะ หรือความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คน

ในภาพยนตร์ เครื่องบินและการบินถูกนำเสนอทั้งในแง่ความโรแมนติก ผจญภัย และโศกนาฏกรรม หลายเรื่องกลายเป็นตำนานของวงการ เช่น Top Gun (1986) ภาพยนตร์ว่าด้วยนักบินรบที่ไม่เพียงนำเสนอฉากขับเครื่องบินรบทางอากาศอันตื่นเต้นเร้าใจ แต่ยังมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างมาก – หลังภาพยนตร์ออกฉาย กองทัพเรือสหรัฐฯ รายงานว่าอัตราการสมัครเข้าเป็นนักบินพุ่งสูงขึ้นถึง 5 เท่าตัว เพราะภาพลักษณ์นักบินเท่ระห่ำนั้นเอง[27] (ความนิยมนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อ Top Gun: Maverick ภาคต่อออกฉายในปี 2022 และประสบความสำเร็จถล่มทลาย) นอกจากหนังบู๊แล้ว เครื่องบินยังปรากฏในหนังดราม่าและภัยพิบัติมากมาย เช่น Airport (1970) และ Airplane! (1980) ที่กลายเป็นต้นแบบหนังเครื่องบินระทึกขวัญและเสียดสีตามลำดับ หรือ Cast Away (2000) ที่เหตุเครื่องบินตกนำไปสู่พล็อตการเอาชีวิตรอดของตัวเอก รวมถึง Sully (2016) ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงของกัปตันซัลลี่นำเครื่องบินลงจอดบนแม่น้ำฮัดสันอย่างปาฏิหาริย์ ภาพยนตร์เหล่านี้สะท้อนทั้งความกลัวและความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อการบิน ช่วยตอกย้ำว่าเครื่องบินเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่ที่สร้างทั้งแรงบันดาลใจและความหวั่นวิตกควบคู่กันไป
Photo By franksgarage.se
Photo By kodungmovie.com

ในวรรณกรรม การบินมักถูกใช้เป็นฉากหรือสัญลักษณ์แทนเสรีภาพ ความหวัง หรือความท้าทายทางจิตวิญญาณ นักบินหลายคนกลายมาเป็นนักเขียนที่ถ่ายทอดประสบการณ์เหนือเมฆลงสู่งานเขียนคลาสสิก หนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) นวนิยายปรัชญาเปรียบเทียบสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เขียนโดย อ็องตวน เดอ แซ็ง-เต็กซูเปรี ซึ่งเป็นทั้งนักเขียนและนักบินชาวฝรั่งเศสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเขาใช้ฉากเครื่องบินตกกลางทะเลทรายซาฮาราเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง เจ้าชายน้อยกลายเป็นวรรณกรรมอมตะที่มียอดขายกว่า 140 ล้านเล่มทั่วโลก และตัวแซ็ง-เต็กซูเปรีเองก็สาบสูญไประหว่างปฏิบัติภารกิจบินจริงๆ ในปี 1944 ทำให้เรื่องราวของเขายิ่งโรแมนติกมากขึ้น[28] นอกจากนี้ยังมีงานเขียนอย่าง The Aviator ของเออร์เนสต์ เค. แกนน (Fate Is the Hunter) และงานสารคดี/อัตชีวประวัติของนักบินชื่อดังหลายท่านที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกวรรณกรรมการบิน เช่น บันทึกของ ชาลส์ ลินด์เบิร์ก นักบินอเมริกันคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเดี่ยวๆ (The Spirit of St. Louis) หรือเรื่องสั้น “The Plane” ของ ริชาร์ด บาค ที่สอดแทรกปรัชญาผ่านการบิน เป็นต้น วรรณกรรมเหล่านี้ช่วยสะท้อนมุมมองภายในจิตใจของมนุษย์เมื่อต้อง “ติดปีก” ท้าทายฟ้า ทั้งความโดดเดี่ยว อิสระ และการเผชิญหน้ากับสิ่งเกินควบคุม
Photo By Le Petit Prince

ในงานศิลปะทัศนศิลป์ เครื่องบินได้เปิดมุมมองใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่มนุษยชาติ ตั้งแต่ยุคบอลลูนขึ้นสูงในศตวรรษที่ 19 จิตรกรอย่าง วิลเลียม เทอร์เนอร์ ก็ตื่นเต้นกับภาพภูมิทัศน์มุมสูงเหนือเมฆจนเกิดผลงานจิตรกรรมที่มีมิติใหม่ๆ[29] พอถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อเครื่องบินกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ล้ำยุค ศิลปินกลุ่มลัทธิฟิวเจอริสม์ (Futurism) ในอิตาลีได้หยิบเอาความเร็วและพลังของการบินมาเป็นแรงบันดาลใจ เกิดเป็นผลงานแอร์โรเพนติ้ง (Aeropainting) มากมาย เช่น ผลงานชื่อ Nose-Diving on the City (1939) ของ ตูลิโอ คราลี จิตรกรชาวอิตาลี ที่วาดมุมมองเสมือนนักบินดิ่งพสุธาลงสู่ตึกสูงในเมือง เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกหวาดเสียวและตื่นเต้นกับความเร็วและความสูง จนถือว่าเป็นตัวอย่างเด่นของศิลปะแอร์โรเพนติ้งยุคนั้น[30][31] (แม้ว่าภาพดังกล่าวจะถูกวิจารณ์ภายหลังว่าพรรณนาการทิ้งระเบิดในสงครามอย่างแฝงนัยก็ตาม) หลังสงคราม ศิลปินสาขาต่างๆ ยังคงใช้เครื่องบินเป็นทั้งแรงบันดาลใจและสัญลักษณ์ เช่น ภาพถ่ายเครื่องบินเจ็ทบนท้องฟ้าที่สื่อถึงความทันสมัย ภาพกราฟิกโฆษณาการท่องเที่ยวทางอากาศยุคเจ็ทที่เน้นความหรูหรา รวมไปถึงงานศิลปะจัดวางสมัยใหม่ที่นำชิ้นส่วนเครื่องบินมาประกอบสร้างใหม่เพื่อกระตุ้นให้ขบคิดถึงเทคโนโลยีและอารยธรรม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเครื่องบินในศิลปะมักสะท้อนทั้งด้านที่เปี่ยมด้วยความใฝ่ฝันโรแมนติก (การโผบินบนฟ้าอันไร้ขอบเขต) และด้านที่เป็นเงามืด (ภัยจากสงครามและอุบัติเหตุ) ตามบริบทสังคมในแต่ละยุคสมัย
Painting By ‘Nose Dive on the City’ Tullio Crali 1939

ในเชิงสังคมความเชื่อและวิถีชีวิต

สุดท้าย ในเชิงสังคมความเชื่อและวิถีชีวิต เครื่องบินได้เปลี่ยนโลกของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม การเดินทางทางอากาศที่รวดเร็วทำให้โลก “แคบลง” ผู้คนต่างวัฒนธรรมสามารถติดต่อพบปะกันได้ง่าย เปิดยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกมุมโลกเชื่อมถึงกันภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมากถูกปรับเปลี่ยนโดยเครื่องบิน เรามีคำเรียกนักเดินทางบ่อยว่า “ชนชั้นเจ็ท” (jet set) ซึ่งบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่การบินเป็นเรื่องปกติ[15] ในทางกลับกัน เครื่องบินก็นำมาซึ่งความท้าทาย เช่น ความหวาดกลัวในการโดยสารอากาศยาน (aviophobia) ที่คนบางกลุ่มมี เนื่องจากเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางอากาศก็มักเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญ นอกจากนี้ เหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 ในปี 2001 ที่คนร้ายใช้เครื่องบินพาณิชย์พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ได้เปลี่ยนมาตรการความปลอดภัยและมุมมองต่อการบินของสังคมโลกไปตลอดกาล การเดินทางโดยเครื่องบินหลังยุคนี้กลายเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการตรวจค้นเข้มงวด และเครื่องบินเองก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของทั้งความเปราะบางและความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้ภัยก่อการร้าย อย่างไรก็ดี ในด้านบวก เครื่องบินยังคงถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและเสรีภาพ ภาพเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าปรากฏในโฆษณาและโปสเตอร์สร้างแรงบันดาลใจอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะสื่อถึงการเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่ หรือการทะยานสู่เป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ ในบางวัฒนธรรมการได้ทำงานเป็นนักบินหรือแอร์โฮสเตสก็เป็นอาชีพในฝันที่มีเกียรติ สะท้อนความเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์ที่จะพิชิตฟากฟ้าได้ ในขณะเดียวกันหลายประเทศใช้เครื่องบินรบเป็นเครื่องมือแสดงแสนยานุภาพและความภูมิใจของชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนชี้ให้เห็นว่าเครื่องบินไม่ใช่แค่พาหนะเดินทาง หากแต่เป็น
นวัตกรรมที่ฝากร่องรอยลึกซึ้งไว้ในจิตสำนึกและวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

เรื่องราวของเครื่องบินจึงครอบคลุมตั้งแต่ตำนานปีกบินของอิคารัสที่สอนให้มนุษย์รู้จักขอบเขตของตน ไปจนถึงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ของพี่น้องไรต์ที่เปิดฟ้าการบิน ยาวมาถึงปัจจุบันที่เรามีเครื่องบินเจ็ทพาผู้คนข้ามทวีป เครื่องบินพลังงานสะอาดเพื่อโลกที่ยั่งยืน เครื่องบินเหนือเสียงรุ่นใหม่ และยานบินข้ามอวกาศสู่ดวงดาวอื่นๆ เครื่องบินยังสะท้อนตัวตนของมนุษย์ในมิติทางวัฒนธรรม เป็นทั้งสัญลักษณ์ของความใฝ่ฝัน เสรีภาพ ความเร็วและพลังอำนาจ อีกด้านหนึ่งก็เตือนถึงอันตราย ความเปราะบาง และผลกระทบที่ต้องระมัดระวัง เมื่อใดก็ตามที่เรามองเห็นเครื่องบินบนท้องฟ้า เมื่อนั้นเราจะตระหนักได้ถึงระยะทางที่มนุษยชาติเดินทางมาไกล จากปีกขนนกของอิคารัสในตำนานสู่ปีกโลหะที่พาเราไปได้ไกลเกินกว่าที่บรรพชนเคยจินตนาการไว้ พร้อมกับภาระความรับผิดชอบที่จะใช้นวัตกรรมนี้อย่างรู้คุณค่าและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

อ้างอิง: แหล่งข้อมูลที่ใช้เรียบเรียงเนื้อหา ได้แก่ งานวิจัยและบทความด้านตำนานเทพเจ้าและวัฒนธรรมการบิน ตลอดจนเอกสารประวัติศาสตร์การบินจากพิพิธภัณฑ์และหน่วยงานด้านการบิน เช่น NASA, FAA ตลอดจนบทความข่าววิทยาการล่าสุดเกี่ยวกับเทคโนโลยีการบิน เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและทันสมัยที่สุด[1][2][3][4][5][7][9][10][32][13][15][16][17][19][20][22][24][25][26][27][28][30][31] (ข้อมูลทั้งหมดตรวจสอบความถูกต้องและเรียบเรียงใหม่เป็นภาษาไทย)

[1] ภูมิทัศน์และอิคารัสปีกหัก – วิกิพีเดีย
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81

[2] ตำนานกรีกเกี่ยวกับอิคารัส มนุษย์ผู้สร้างปีกบินหนี แต่สุดท้ายก็พบกับหายนะจากเทพเจ้า… – Scholarship.in.th
https://www.scholarship.in.th/icarus-myth/

[3] Icarus
https://www.greekmythology.com/Myths/Mortals/Icarus/icarus.html

[4] Vimana – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/Vimana

[5] Lu Ban – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/Lu_Ban

[6] Magic carpet – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/Magic_carpet

[7] Wright Flyer – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/Wright_Flyer

[8] [9] [12] [32] A Brief History of the FAA | Federal Aviation Administration
https://www.faa.gov/about/history/brief_history

[10] [11] He 178 | airplane | Britannica
https://www.britannica.com/technology/He-178

[13] [14] [15] [16] Jet Age – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/Jet_Age

[17] [18] Solar plane makes history after completing round-the-world trip | Solar power | The Guardian
https://www.theguardian.com/environment/2016/jul/26/solar-impulse-plane-makes-history-completing-round-the-world-trip

[19] Airbus Plans Hydrogen-Powered Carbon-Neutral Planes by 2035. Can They Work? – IEEE Spectrum
https://spectrum.ieee.org/airbus-plans-hydrogenpowered-carbonneutral-planes-by-2035-can-they-work

[20] [21] NASA, Lockheed Martin Reveal X-59 Quiet Supersonic Aircraft – NASA
https://www.nasa.gov/news-release/nasa-lockheed-martin-reveal-x-59-quiet-supersonic-aircraft/

[22] [23] American becomes third airline to place order for Boom Supersonic jets | Airline industry | The Guardian
https://www.theguardian.com/business/2022/aug/16/american-becomes-third-airline-to-place-order-for-boom-supersonic-jets

[24] [25] [26] Space tourism took a giant leap in 2021: Here’s 10 milestones from the year | Space
https://www.space.com/space-tourism-giant-leap-2021-milestones

[27] YouTube, Top Gun, and aviation culture : Air Facts Journal
https://airfactsjournal.com/2022/05/youtube-top-gun-and-aviation-culture/

[28] The Little Prince – Wikipedia
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Little_Prince

[29] Flight of fancy: how aviation changed art for ever | Art and design | The Guardian
https://www.theguardian.com/artanddesign/2012/aug/17/flight-of-fancy-aviation-art

[30] Aeropainting with Italian Futurist Tullio Crali at the Estorick – Museum Crush
https://museumcrush.org/aeropainting-with-italian-futurist-tullio-crali-at-the-estorick/

[31] Birds of prey | Culture | The Guardian
https://www.theguardian.com/culture/2005/jan/05/1