การปรับตัวของชาวนาไทย

ชื่อเรื่อง : การปรับตัวของชาวนาไทย

ผู้เขียน : มูลนิธิชีวิตไทย

สืบค้นจาก :  http://opac.library.mju.ac.th/opac2/BibDetail.aspx?bibno=346825

                                                                     

ชาวนาไทยจะอยู่ต่อไปอย่างไร ท่ามกลางวิกฤตมากมายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งต้นทุนทำนาสูง ค่าเช่านาเพิ่มขึ้น และราคาข้าวที่ไม่เคยเป็นใจไม่ว่าชาวนาจะได้ผลผลิตข้าวมากหรือน้อยแค่ไหน ฝนจะแล้ง น้ำจะท่วมแต่ราคาข้าวก็มักจะวนเวียนกลับมาอยู่ที่เดิม ที่เกวียนละห้าพันบาทถึงเจ็ดพันบาทเท่านั้น

ภาระที่ชาวนาไทยแบกไว้อย่างหนังอึ้งและไม่มีใครมาช่วยปลดแอกอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้ ก็คือภาระหนี้สิน ที่อดีตเคยหลงทางไปกับการลงทุนทำนาด้วยเงินจำนวนมหาศาลเพื่อหวังกอบกู้ฐานะชาวนา

การปรับตัวของชาวนาภาคกลางมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ติดลบ มีหนี้สินมาก ไม่มีเงินออม มีเงินหมุนเวียนในครอบครัวน้อย มีสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางไม่มั่นคง ทำให้มีความกลัว และไม่กล้าเสี่ยงกับความเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อเกิดเหตุเดือดร้อนฉุกเฉินในครอบครัว ก็อาจถูกผลักดันให้ไปเป็นหนี้นอกระบบและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหนี้ กลายเป็นปัญหาที่ทับซ้อนขึ้นมาได้ มารู้ตัวอีกทีชาวนาส่วนใหญ่ก็เจอกับหมายศาลเพื่อให้นำเงินไปชำระหนี้ ไม่เช่นนั้น ทางเลือกที่พวกเขามีอยู่คือ การยอมขายทอดตลาดที่นาของตนเองที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หากไม่ยอม อาจจะต้องถึงกับติดคุก หรือถูกฟ้องให้กลายเป็นชาวนาผู้ล้มละลาย

เราจึงพบชาวนาไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวนาภาคกลางอยู่ในสภาพชาวนาเช่า ต้องทำนาบนที่ดินของคนอื่น เพราะตนเองไม่ที่ดินเหลืออยู่ หรือมีอยู่น้อยเต็มที เพียงครอบครัวละสองถึงห้าไร่เท่านั้น

ทางเลือกของชาวนาไทยในยุคสมัยปัจจะบัน ควรจะป้นอย่งไรพวกเขายังมีทางเลือกเหลืออยู่ จริงหรือไม่

                                                                 

การที่ชาวนาภาคกลางจะปรับตัวเพื่อยกรับไปสู่สภาพเศรษฐกิจที่มั่นคง หมายถึงความพยายามในการปรับเปลี่ยนไปสู่อาชีพการเกษตรที่มั่นคงกว่าเดิม หรือให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าการทำนาเพียงอย่างเดียวจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ ทั้งในฝั่งของตัวชาวนาเองและฝั่งของภาครัฐที่มีหน้าที่ส่งเสริมเพื่อให้ชาวนามีสภาพความเป็นที่ดีขึ้น ปัจจัยเกื้อหนุนเหล่าน้ประกอบด้วยต้นทุนที่สำคัญ 5 ประการ

ประการแรก คือ ทุนทางความคิด  หรือการสรุปบทเรียนและประสบการณ์ชีวิตที่มองให้เห็นถึงความล้มเหลวของการทำการผลิตหรือการทำนาที่ผ่านมา ทั้งการทำนาในพื้นที่ขนาดใหญ่เกินกำลังครอบครัว การเช่าที่นาจำนวนมาก และการทำนาอาบสารเคมีด้วยต้นทุนที่สูง ด้วยเหตุที่คาดหวังเพียงผลผลิตข้าวจำนวนมากและเงินก้อนใหญ่เพื่อล้างหนี้ แต่มักจบลงด้วยความล้มเหลว

ระการที่สอง คือ ทุนทางความรู้ เมื่อชาวนามีบทเรียนความล้มเหลวจากการทำนาเคมีที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต้องการองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการผลิต โดยเฉพาะองค์ความรู้ในการทำนาแบบอินทรีย์ หรือการทำเกษตรอินทรีย์ ที่รวมถึงการทำนา การผลิตผัก ผลไม้ และการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นระบบการผลิตที่พึ่งพิงอาศัยธรรมชาติและใช้ต้นทุนต่ำ พบว่าชาวนาภาคกลางจำนวนมากไม่มีองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ และไม่มีความมั่นใจหากต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การทำนาแบบอินทรีย์และต้นทุนต่ำ พวกเขาไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำได้ หากต้องเผชิญกับโรคและแมลงศัตรูพืชที่อาจทำให้ผลผลิตข้าวลดลงอย่างรุนแรง ความไม่มั่นใจเหล่านี้ ต้องการการหนุนเสริมด้วยโอกาสในการศึกษาดูงาน และฝึกอบรมด้านเทคนิคการเพาะปลูกแบบอินทรีย์

                                                       

ประการที่สาม คือ ทุนทางสังคม เป็นเรื่องที่ยาก หากชาวนาทั่วไปต้องการจะปรับไปสู่การผลิตที่ยั่งยืนแต่พวกเขาไม่มีกลุ่มองค์กร หรือเครือข่ายทางสังคมที่คอยหนุนเสริม ให้กำลังใจ และแลกเปลี่ยนความรู้ พบว่ากลุ่มชาวนาที่ต้องการปรับตัวไปสู่การผลิตแบบใหม่ ต้องการการหนุนเสริมและสร้างเครือข่ายในหลายด้าน เช่น เครือข่ายด้านการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวและพืชผักอินทรีย์คุณภาพดี เครือข่ายหนุนเสริมความรู้หากประสบปัญหาจากการปรับเปลี่ยนไปสู่อินทรีย์ ที่สำคัญมากคือ เครือข่ายเกษตรกรที่รวมกลุ่มและแบ่งปันการใช้ประโยชน์ที่ดินกันเพื่อให้กับเกษตรกรที่มีที่ดินน้อยหรือไม่มีที่ดินเลยได้ทำการผลิตด้วย รวมไปถึงเครือข่ายที่หนุนเสริมด้านตลาดอินทรีย์ เพื่อสร้างความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนของเกษตรกร หากไม่มีเครือข่ายด้านตลาดอินทรีย์ พบว่าชาวนาจำนวนหนึ่ง ไม่กล้าพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงจากการลงทุนปรับเปลี่ยน เนื่องจากไม่มีความมั่นใจว่าจะนำผลผลิตไปขายที่ไหน ด้วยราคาที่คุ้มทุนหรือไม่ 

ประการที่สี่ คือ เงินทุนที่ยั่งยืน เงินทุนที่ยั่งยืน หรือกองทุนเพื่อการปรับตัวของชาวนาที่มีความยั่งยืน อันหมายรวมถึงกองทุนที่ระดมเงินออมของกลุ่มชาวนาเอง เพื่อหมุนเวียนช่วยเหลือกันในอนาคต และกองทุนสำหรับการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตในระยะแรกของชาวนา ซึ่งควรเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายช่วยเหลือด้านสังคมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีระยะเวลาใช้คืนที่นานเพียงพออย่างน้อย 5 ปี พบว่าการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอินทรีย์ ชาวนาที่มีเงื่อนไขและข้อจำกัดด้านหนี้สิน มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องการการหนุนเสริมเงินทุนในระยะเริ่มต้น

ประการที่ห้า คือ ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ หมายรวมถึง ทรัพยากรที่ดิน แหล่งน้ำในการผลิต ป่าและระบบนิเวศที่รักษาความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพ เมล็ดพันธุ์ข้าวและพืชผัก พบว่าชาวนาในภาคกลาง ที่ผ่านมาได้สูญเสียทุนทางทรัพยากรธรรมชาติไปมาก ทั้งการขาดแคลนที่ดิน การหวังพึ่งแหล่งน้ำจากชลประทานซึ่งไม่ประสบผล การเสื่อมโทรมของคุณภาพดินจากการใช้สารเคมีเข้มข้น การขาดแคลนเมล็ดพันธุ์พืชพื้นถิ่น ทุนทางทรัพยากรเหล่านี้ คือสิ่งที่ชาวนาภาคกลางต้องทำงานฟื้นฟูและรักษาเพื่อให้กลับคืนมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอินทรีย์ ชาวนาต้องพึ่งพิงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นปัจจัยเกื้อกูลให้ระบบการผลิตมีความมั่นคงและยั่งยืนนั่นเอง

 

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :

www.isranews.org

www.landactionthai.org

 

สนใจหนังสือเล่มนี้ ติดต่อขอใช้บริการ :

Books Seeking & Delivery Service (บริการจัดส่งสำหรับอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้)

หากพบปัญหาหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ :

เคาน์เตอร์ One Stop Service ชั้น 1

โทร 053-873510  

Facebook MJU Library