Ready Player One : สงครามเกมคนอัจฉริยะ
Directed By : Steven Spielberg
Written By : Zak Penn, Ernest Cline
Cast : Tye Sheridan, Olivia Cooke, Lena Waithe, Win Morisaki, Philip Zhao
Run time : 140 minutes
Studio : Warner Bros. Pictures
Ready Player One ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวู้ด Steven Spielberg ดัดแปลงมาจากนิยาย Young Adults (YA) ปี 2011 ของ Ernest Cline
เรื่องราวในหนังเกิดในยุคดิสโธเปีย (เป็นสังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัวปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ)โลกอนาคตประมาณปี 2045 ที่ผู้คนยากไร้ และหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกม VR หรือโลก Oasis ที่สร้างโดย James Halliday (นักแสดงออสการ์ Mark Rylance จาก Bridge of Spies และ Dunkirk) และหุ้นส่วน Ogden Morrow (Simon Pegg จาก Mission Impossible)
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ Halliday เสียชีวิต เขาได้สร้างเกม Easter Eggs และกติกาพิเศษไว้ในโลก Oasis ผู้ชนะที่หากุญแจครบ 3 ดอกคนแรกจะได้รับหุ้นและสิทธิในการจัดการเกมทั้งหมดต่อจากเขา
แต่ CEO Nolan Sorrento (Ben Mendelsohn จาก Rogue One) ไม่ยอมสูญเสียอำนาจในการจัดการบริษัทง่าย ๆ เขาจึงจ้างคนเก่ง ๆ จำนวนมากมาช่วยกันเล่นเกมนั้นแข่งกับเด็กๆ และจ้าง I-R0k (T.J. Miller จาก Deadpool) มาคอยเป็นมารขัดขวางด้วย
Egg Hunters หรือ Gunters ตัวเต็ง High 5 ได้แก่ Parzifal หรือชื่อในโลกจริงคือ Wade Watts (Tye Sheridan จาก Scouts Guide to the Zombie Apocalypse) เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับป้าในย่านสลัม Columbus เมือง Ohio, Art3mis หรือ Samantha (Olivia Cooke จาก Ouija), Aech หรือ Helen (Lena Waithe จาก Mother of None), Sho (Philip Zhao) และ Daito (Win Morisaki)
กลุ่ม High 5 นี่ก็ถือว่าเอามาเกือบครบเลย ทั้งคนผิวสี คนเอเชีย และเด็ก (ขาดก็แต่คนแก่) ที่มารวมทีมกันเพื่อเป้าหมายและอุดมการณ์เดียวกัน แล้วตัวละครเด็กเนี่ย มันน่าจะทำให้คนทั่วไปได้เห็นว่า เด็กตัวเล็กก็สามารถทำอะไรใหญ่ ๆ ได้ อย่าตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก เพศ เชื้อชาติ หรืออายุ
และหนังก็ยังสอนอะไรหลาย ๆ อย่างจากเกมนี้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ สอนเด็กติดเกมว่า อย่าบอก identity ของเรากับคนที่เจอในเกมง่าย ๆ จนถึงการเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น การแยกแยะระหว่างโลกมายากับโลกแห่งความเป็นจริง และอยู่กับ reality ให้มากขึ้น ฯลฯ
คือถึงแม้ในเกมจะเป็นโลกที่เราสามารถทำอะไรเหนือขีดความสามารถเราก็ได้ จะชื่ออะไร จะเลือกหน้าผมยังไง จะแต่งตัวยังไง หรือทำอะไรก็ได้ แต่ยังไงสุดท้ายแล้ว Reality is real และเราก็ต้องอยู่กับมันและก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและความกลัวต่าง ๆ นั้นไปให้ได้
ตอนแรกไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่ได้อ่านเรื่องย่อ ไม่ได้ดูเทรลเลอร์ ความรู้เรื่องเกม เพลง หนัง หรือ pop culture ในยุคนั้น ๆ ก็แทบไม่มี ช่วง 5-10 นาทีแรก เลยงง ๆ นิดหน่อย เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยได้ แต่มันก็เหมือนเราไปเล่นเกมแบบไม่อ่านคู่มือก่อน แรก ๆ อาจยาก ๆ งง ๆ นิดหน่อย แต่แป๊บ ๆ เราจะเข้าใจและเล่นมันจนจบได้เอง รู้ตัวอีกทีก็อินมาก ๆ และลุ้นมาก
ฉากที่ตัวละครทุกคนแข่งรถกันครั้งแรก มัน อื้อหือ… Oh! Wow! สนุกมากกกกกก มันส์มากกกกกก รถชนรถคว่ำวินาศสันตะโร ยิ่งดู IMAX 3D นี่ยิ่งรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเกมเอง คือหนังมันดูเหมือนทำมาเพื่อสามมิติอยู่แล้วจริง ๆ
ฉากแอ็คชั่นผจญภัยฉากอื่น ๆ ก็ล้วนสนุกหมด ไม่มีวินาทีไหนที่ไม่สนุก ไม่ตื่นตาตื่นใจ หรือไม่น่าติดตาม คือสนุกทุกวินาที ทุกอย่างดูสด ล้ำ เหนือจินตนาการ ถ้าถามว่า เรื่องเกม เพลง หนัง หรือ pop culture ในยุคนั้น ๆ จะดูสนุกไหม จะดูรู้เรื่องไหม ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า “สนุก” เพราะหนังเขาทำเผื่อคนที่เนิร์ดไม่มากอย่างเรา ๆ ไว้แล้ว เล่าเรื่องเข้าใจง่าย เข้าถึงไม่ยาก และอย่างน้อย ๆ เราว่า 98.99% ของคนที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ น่าจะรู้จัก Back to the Future, Jurassic Park, King Kong, กันดั้ม, ก๊อดซิลล่า, Avatar, Batman, ชัคกี้ ฯลฯ กันอยู่บ้างแหละน่า
<
p style=”text-align: left;”>เอาเป็นว่า นี่เป็นหนังที่เราคิดว่า ดูสนุกทุกเพศทุกวัย แต่ถ้ามีความเนิร์ดอยู่แล้ว เราว่าจะยิ่งโคตรอิน ฟิน และเครซี่หนักมากแน่ ๆ ผู้กำกับเก่งมากที่ใส่ทุกสิ่งอย่างมาในหนังได้อย่างพอดี ทั้งที่มันน่าจะทำยากมาก เพราะมันต้องมีความยากในเรื่องปัญหาลิขสิทธิ์ บลา ๆ ๆ ต้องไปปจัดรอบสอง เพราะหนังเรื่องนี้มันรอบเดียวไม่พอจริง ๆ ต้องมีรอบสอง! เอาจริง ๆ ตอนนี้ยังหาข้อติไม่ได้ เพราะยังติดอยู่ในความสนุกของโลก Oasis ในตึก IOI และในสลัม Columbus อยู่