จากเวทีประกวด Miss Universe 2017 เพิ่งจะจบลงไปหมาด ๆ ซึ่งตัวแทนจากประเทศไทย มารีญา พูลเลิศลาภ สามารถเข้าไปถึงรอบ 5 คนสุดท้ายได้และเจอกับคำถามเกี่ยวกับ Social Movement หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที สังคมโซเชียลก็เลือกจะตอบคำถามแทนในหลากหลายแง่มุม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการอธิบายถึงความหมายของคำว่า “Social Movement”
ในการให้ความหมายของ ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้อธิบายเรื่อง “Social Movements” ไว้ดังนี้
การเคลื่อนไหวทางสังคม หมายถึงปฏิบัติการของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง การรวมกลุ่มของคนอาจจะเป็นทางการและไม่เป็นทางการก็ได้ สำหรับทางมานุษยวิทยามองว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเป็นเรื่องการเมือง เช่น การต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เชื้อชาติ ความเท่าเทียมของเกย์ เลสเบี้ยน การดูแลรักษาผู้ป่วยเอดส์ สิทธิการตั้งครรภ์ และความเท่าเทียมของสตรี รวมทั้งการต่อสู้เชิงอนุรักษ์นิยม เช่น การต่อต้านการทำแท้ง เป็นต้น ในอดีต นักมานุษยวิทยามักอธิบายการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยทฤษฎีของมาร์กซิสต์ เฟมินิสต์ และแนวคิดโครงสร้างนิยม
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวทางสังคมเกี่ยวข้องกับสังคมสมัยใหม่ กล่าวคือ เมื่อตะวันตกเริ่มใช้อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความคิดเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกก็เริ่มมีบทบาทสำคัญของพลเมือง เมื่อประชาชนรู้สึกว่าตนเองถูกกดขี่ข่มเหง ไม่ได้รับความเท่าเทียมและความเป็นธรรม ทำให้พวกเขาออกมาแสดงออกทางความคิดและวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาทางสังคมต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องสิทธิหรือประท้วงการบริหารงานของรัฐ
ทฤษฎีของชาวตะวันตกพยายามอธิบายขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพศ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และอธิบายว่าขบวนการเหล่านี้ได้ท้าทายวัฒนธรรมบริโภค จำกัดสิทธิส่วนบุคคล และทำให้มนุษย์มีความคลุมเครือระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเหล่านี้ก็ถูกวิจารณ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกที่สาม นักวิชาการต่างเสนอว่าขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศยากจน เป็นการต่อสู้กันระหว่างสองขั้วคือผู้ปกครองกับผู้ที่ถูกกดขี่ แต่การวิจัยเกี่ยวกับการประท้วงในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา พบว่าผู้ประท้วงเป็นกลุ่มคนชั้นกลาง ถึงแม้ว่าจะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวทางสังคมในโลกที่สามกับโลกตะวันตก แต่นักทฤษฎีส่วนใหญ่เห็นร่วมกันว่าความขัดแย้งมีลักษณะที่หลากหลายในทุกส่วนของโลก
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมมักจะเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ 4 เรื่อง คือ
เรื่องที่หนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างยุทธศาสตร์กับอัตลักษณ์ ซึ่งได้รับความสนใจจากนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์ในอังกฤษและอเมริกา ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง ทรัพยากร และเป้าหมายของการประท้วง ตรงข้ามกับนักคิดในภาคพื้นยุโรปที่สนใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ซึ่งมีเรื่องของมุมมองทางการเมืองและจินตนาการรวมหมู่
เรื่องที่สอง คือความขัดแย้งและการลื่นไหล “การเคลื่อนไหว” บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียว การศึกษาชี้ให้เห็นว่าภายในองค์กรการเคลื่อนไหวก็มีความตึงเครียด ดังนั้นกลุ่มการเคลื่อนไหวจึงมิได้มีเอกภาพแต่มีลักษณะของการไกล่เกลี่ยต่อรองเพื่อแบ่งแยกและร่วมมือ การศึกษาแนวใหม่สนใจเรื่องประชาชนที่อาจเข้าไปพัวพันหรือหลีกหนีจากการดิ้นรนทางสังคม นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าการต่อสู้ของปวงชนมิได้มีภาพสวยงามหรือสมดุล แต่ปวงชนมีการต่อรอง แบ่งแยก และไม่มีความมั่นคง
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับศักยภาพของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่จะเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ การต่อต้านขัดขืนในชีวิตประจำวัน เช่น การนินทา มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมคือเหตุการณ์ที่อยู่ระหว่างการขัดขืนและการปฏิวัติ นักวิชาการบางคนเชื่อว่ากระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นการแสดงออกของประชาธิปไตยและเสรีภาพของประชาชน นักวิชาการที่อธิบายในทำนองนี้ชี้ให้เห็นความสามารถของประชาชนในการกระทำและคิดสิ่งต่างๆเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวขยายออกไปกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความเท่าเทียมของสตรีในอเมริกาและยุโรปขยายตัวอย่างกว้างขวางไปยังเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา ในทางตรงกันข้าม แนวคิดของคานธีเรื่องความไม่รุนแรง ค่อยๆแผ่ขยายจากอินเดียไปสู่ประเทศตะวันตก
นักวิชาการบางคนเชื่อว่ากระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมคือความหวังของประเทศยากจน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ๆมีกิจกรรมทางการเมืองที่ซับซ้อน นักวิชาการบางคนชี้ว่า การเคลื่อนไหวทางสังคมเกิดขึ้นเฉพาะคนกลุ่มเล็กๆซึ่งพยายามเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงไม่เคลื่อนไหวในสิ่งที่เขาทำอยู่ นักทฤษฎีหลายคนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก แต่จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่ การเคลื่อนไหวภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนาซีใหม่ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ล้วนมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่การเคลื่อนไหวมีความซับซ้อนหลากหลาย และคาดเดายาก นักวิชาการบางคนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมกับการปลดปล่อยมนุษย์นั้นต่างกัน
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของนักมานุษยวิทยา นักมานุษยวิทยาหลายคนอธิบายว่าจะต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของนักมานุษยวิทยาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่ผ่านมาการเข้าไปมีส่วนในองค์กรภาครัฐหรือองค์กรพัฒนา เป็นโอกาสที่จะทำให้เห็นการเคลื่อนไหวทางสังคม นักมานุษยวิทยาหลายคนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมจะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้เพื่อนสันติภาพและความยุติธรรม การเคลื่อนไหวทางสังคมชี้ให้เห็นว่าประชาชนมิใช่คนที่อยู่นิ่งหรือเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ในทางตรงกันข้ามการต่อสู้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหากตกอยู่ในอำนาจทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวทางสังคมอาจมีความหมายที่เปลี่ยนไป
ในส่วนของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะขบวนการเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ได้อธิบายไว้ว่า Social Movement หรือ “การเคลื่อนไหวทางสังคม” เป็นปฏิบัติการของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเด็นต่างๆ เช่น การเมือง สิ่งแวดล้อม เชื้อชาติ สิทธิผู้หญิง LGBT โรคเอดส์ คนพิการ ฯลฯ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรระบุว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมเติบโตมาพร้อมกับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยซึ่งให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงออกและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมาก โดยเชื่อว่าเมื่อประชาชนถูกกดขี่ข่มเหงหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเขาย่อมมีสิทธิออกมาแสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ ประท้วง และเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองได้
กลุ่มคนที่เข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวทางสังคมมีความหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละบริบท บางกลุ่มเป็นคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อปลดแอกจากอำนาจผู้ปกครองที่ไม่เป็นธรรม บางกลุ่มเป็นคนยากจนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และบางกลุ่มเป็นชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นสูงที่แย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างกัน
การเคลื่อนไหวทางสังคมในบางประเด็นขยายตัวจากในประเทศจนได้รับการยอมรับเกือบทั่วโลก โดยบางประเด็นมีต้นกำเนิดในโลกตะวันตก เช่น สิทธิและความเท่าเทียมของผู้หญิง การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน แต่บางเรื่องก็มาจากโลกตะวันออก เช่น หลักการไม่ใช้ความรุนแรง (อหิงสา) ของมหาตมา คานธี
การเคลื่อนไหวที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น การเรียกร้องสิทธิพลเมืองของคนดำในสหรัฐฯ ซึ่งนำโดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ อาหรับสปริงส์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน การเปิดโปงข้อมูลการละเมดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทั่วโลกโดยวิกิลีกส์ การเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการของนักศึกษาไทยในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 และ 6 ตุลาฯ 2519 หรือแม้กระทั่งโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อระดมทุนเพื่อโรงพยาบาลโดย ตูน บอดี้สแลม ที่ตกเป็นที่สนใจของคนไทยจำนวนมากก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อการพัมนาเชิงบวกหรือทำให้สังคมให้ดีขึ้นเสมอไป เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนาซีใหม่ กลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อกดขี่ เลือกปฏิบัติ หรือปองร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมสังคมเดียวกัน
ส่วน e-book ที่จะแนะนำให้เข้ากับเรื่องในวันนี้ ก็จะขอแนะนำ เรือง Civil Society and Democratization : Social Movements in Northeast Thailand โดย Somchai Phatharathananunth ซึ่งเป็น e-book ที่ห้องสมุดมีให้บริการ หากใครสนใจอยากลองอ่าน ก็สามารถ คลิกเพื่ออ่านหนังสือ ได้เลยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ; แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ภาพประกอบจาก : Social Movement LJ INC