BOOK : ‘เก่งมาจากไหน? OXFORD – CAMBRIDGE’

หากพูดถึงระบบการศึกษาที่ดีที่สุดของโลกแล้ว ชื่อของมหาวิทยาลัย ‘ออกซฟอร์ด’ และ ‘เคมบริดจ์’ คงเป็นสองชื่อแรกๆ ที่ทุกคนนึกถึง

กว่าแปดร้อยปี ที่สองสถาบันนี้ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกตลอดเวลา ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ ผลผลิตจากสองสถาบันนี้ ได้สร้างผลงานที่สั่นสะเทือนโลกไว้รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น Sir Isaac Newton ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วง , Stphen Hawking นักจักรวาลวิทยาผู้บุกเบิกหลุมดำ J.R.R. Tolkien เจ้าของมหากาพย์ The Lord of The Ring ฯลฯ หรือ ผู้นำประเทศทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล บุคคลชื่อดังนานาอาชีพ 

กล่าวได้ว่า ชีวิตของพวกเราได้รับคุณูปการจากศิษย์เก่าทั้งสองสถาบันนี้อยู่เสมอ จนเราอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าบุคคลเหล่านี้ถูกสอนกันมาอย่างไร?

โมเดล ‘การสร้างคน’ ของสองมหาวิทยาลัยนี้เป็นแบบไหนกัน?

ทำไมต้องเรียก Oxbridge?

‘Oxbridge’ เป็นคำผสม (portmanteau) ของคำเต็มคือ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ คำเรียกนี้รวมสองมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากสองมหาวิทยาลัยนี้มีธรรมเนียมปฏิบัติและระบบการศึกษาที่โดดเด่นเหมือนกัน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปีทั้งสองแห่ง มีคำศัพท์ซึ่งใช้รู้กันเฉพาะ (Jargons) ได้ เพราะมีรากฐานวัฒนธรรมที่แข็งแรง สรุปว่าเป็นคู่มหาวิทยาลัยที่มีความเหมือนกันเองมาก แต่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นทั้งในอังกฤษและทั่วโลก

ทำความรู้จักกับ The University of Oxford

ตามด้วย The University of Cambridge

ความพิเศษของระบบการศึกษาของ Oxbridge คือ การมีระบบคอลเลจ

ถ้าใครเคยอ่าน Harry Potter ก็คงจะสนุกไปกับการจินตนาการว่าตัวเองจะได้อยู่บ้านอะไรที่โรงเรียนฮอกวอตส์ระหว่างกริฟฟินดอร์ เรเวนคลอ ฮัฟเฟิลพัฟ และสลิธิริน ทุกคนคงจะมีบ้านในใจก่อนจะได้ลุ้น สวมหมวกคัดสรร ระบบบ้านนี้จะพบได้ทั่วไปในโรงเรียนประจำของอังกฤษหรือ ‘Boarding School’ ซึ่งใช้คำเรียกตรงตัวว่า ‘House’ ระบบคอลเลจ (Collegiate System) ของออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์มีพื้นฐานแบบเดียวกับ House แต่เข้มข้นกว่าเพราะแต่ละคอลเลจถือเป็นเขตปกครองพิเศษ มีกฎ กติกา มารยาท เป็นของตนเอง เป็นเขตปกครองพิเศษที่บริหารทรัพย์สินและงบประมาณด้วยตัวเอง มีหน้าที่ดูแลสมาชิกเรื่องความเป็นอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็เสริมวิชาการระดับเข้มข้นเข้าไปด้วย เท่ากับว่า นอกจากนักศึกษาจะได้พบอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย กลับคอลเลจก็มีอาจารย์เป็นของตัวเองที่เก่งเหมือนกันอีกชุดหนึ่งเอาไว้ติวเข้ม เป็นระบบการศึกษาแบบแพคคู่ที่มีต้นทุนสูงแต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ

ในแต่ละคอลเลจจะมีสมาชิกที่เรียนคณะ ภาควิชาต่างๆ กัน มาพักอาศัยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะกิน นอน เล่น เรียน และทำกิจกรรมยามว่าง รวมถึงการสัมมนาทางวิชาการต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในคอลเลจ ซึ่งแต่ละคอลเลจจะมีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงแตกต่างกันไป นักศึกษาส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลาอยู่ในคอลเลจตลอดหลักสูตร (เปลี่ยนไม่ได้) ถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกให้ดี นักศึกษาส่วนใหญ่จะเลือกคอลเลจโดยพิจารณาจาก

• ชื่อเสียงของคอลเลจเอง ประวัติศาสตร์การก่อตั้ง ชื่อเสียงผู้ก่อตั้ง

• ชื่อเสียงด้านผลการเรียนของสมาชิกในคอลเลจ จำนวนศิษย์เก่าที่มีผลงานโดดเด่นระดับโลก

• ชื่อเสียงของ Fellow (ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคอลเลจ) 

• การสะสมรางวัลต่างๆ เช่น รางวัลโนเบล รางวัลจากการแข่งขันกีฬา 

• ความสวยงามของสถานที่ อาคารของคอลเลจ วิวริมแม่น้ำที่สวยงาม สถาปัตยกรรมแบบเก่า และการสร้างอาคารใหม่ๆ

• ความใกล้ไกลของคอลเลจกับอาคารเรียน

• ความสะดวกสบายถ้าได้อยู่คอลเลจกลางเมือง

• คอลเลจที่อยู่นอกเมืองแต่มีสนามบาสเกตบอลและสนามฟุตบอลให้สมาชิกเล่น

• คอลเลจที่อาหารการกินดีเป็นพิเศษ เช่น Merton College ที่ออกซฟอร์ด เนื่องจากได้รับเงินสมทบจากมกุฎราชกุมารญี่ปุ่น (Crown Prince Naruhito) ผู้ทรงเป็นศิษย์เก่า

การผสานกันระหว่างการจัดการเรียนการสอนโดยมหาวิทยาลัยและระบบ Tutorial

ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดในกระบวนการสร้างคนเก่งของออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ก็คือ กระบวนการถ่ายทอดวิทยาการผ่านระบบการเรียนการสอนในแบบเฉพาะของ Oxbridge อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ Oxbridge สร้างบุคคลที่สร้างคุณค่าให้กับโลกได้อย่างมากมายตลอดระยะหลายร้อยปี ด้วยระบบการสอนที่ลือลั่นกันว่าลงทุนสูงมากและมีเพียงแค่ออกซฟอร์ดกับเคมบริดจ์เท่านั้นที่เลือกใช้ระบบนี้ สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ทั้งออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ไม่ได้ใช้การควบคุมด้วยการเช็กชื่อหรือมีบทลงโทษหนักถ้านักศึกษาขาดเรียน แต่ให้อิสระกับนักศึกษาสูงมาก แสดงว่าเคล็ดลับความสำเร็จของสองสถาบันนี้ไม่ได้มาจากการคุมเข้มเรื่องการเข้าเรียน ถ้าเอาเรื่องจำนวนชั่วโมงเลกเชอร์มาพิจารณา บางคณะจะกำหนดชั่วโมงเรียนมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นโดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นสายสังคมศาสตร์ นักศึกษาบางคนยอมรับว่าไม่ได้มีชั่วโมงเรียนเพิ่มจากช่วงที่เรียนระดับมัธยมปลายมากนัก แสดงว่าจำนวนชั่วโมงเลกเชอร์ก็ยังไม่ใช่เคล็ดลับของ Oxbridge

กลยุทธ์สำคัญของ Oxbridge คือ การทำงานร่วมกันของระบบ Tutorial ที่บริหารโดยคอลเลจ (Living Community) และการจัดการเรียนการสอนโดยมหาวิทยาลัย (Academic Community) ซึ่งทำให้เกิดพลังทวีในการเรียนการสอนมากที่สุด

มหาวิทยาลัยรับหน้าที่เป็นองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการจัดสอนในรูปแบบ ‘เลกเชอร์’ เป็นการเรียนที่เด็กทุกคอลเลจเรียนร่วมกัน ส่วนมากจะจัดขึ้นในช่วงเช้าภายใต้การดำเนินการของมหาวิทยาลัยแต่ละคณะ โดยถ้าเป็นคณะทางสายวิทยาศาสตร์ก็อาจมีชั่วโมงที่เรียนในห้องปฏิบัติการ หรือที่เรียกว่าทำ ‘แล็บ’ ร่วมด้วย

ระบบสนับสนุนที่สำคัญอยู่ที่ระบบซึ่งออกซฟอร์ดเรียกว่า ‘Tutorial’ ส่วนเคมบริดจ์จะเรียกว่า ‘Supervision’ เป็นระบบที่รับผิดชอบโดยแต่ละคอลเลจ ส่วนมากจะจัดภายในคอลเลจช่วงบ่ายถึงเย็น ระบบ Tutorial หรือ Supervision คือ ระบบการสอนในความรับผิดชอบของคอลเลจ ที่ให้อาจารย์หรือนักวิชาการประจำคอลเลจที่คัดมาแล้วว่ามีความรู้ดี ฝีมือสอนระดับเซียน ทำหน้าที่ดูแลนักศึกษาที่อยู่ในคอลเลจนั้นๆ โดยเฉพาะ ตลอดระยะเวลาที่นักศึกษาผู้นั้นยังศึกษาอยู่ตลอดหลักสูตร โดย Tutor หรือ Supervisor จะทำหน้าที่เสมือนโค้ชส่วนตัว ที่คอยสอนและสนับสนุนช่วยเหลือด้านวิชาการอย่างสุดความสามารถเพื่อให้สัมฤทธิผลทางการศึกษาสูงสุด ความพิเศษอีกประการหนึ่งคือ Tutor หนึ่งคนจะดูแลนักศึกษาเพียง 1-3 คนเท่านั้นต่อหนึ่งวิชา บางครั้งก็ 1:1 ด้วยซ้ำ! นักศึกษาหนึ่งคนจะมี Tutor หลายคนถ้าเรียนหลายวิชา ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์ก็จะต้องพบ Tutor ให้ครบทุกวิชา วิชาละประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่ง Tutor แต่ละคนก็มีวิธีสั่งงานและผลักดันนักศึกษาไม่เหมือนกัน การที่คอลเลจออกแบบให้ Tutor แต่ละคนดูแลนักศึกษาน้อยที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่า ผู้เรียนทุกคนได้รับการดูแลใส่ใจอย่างทั่วถึง แทบจะมีความหมายเท่ากับ Personalize ในบางวิชา ทั้งยังได้เรียนกับผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แบบตัวต่อตัวอย่างเข้มข้นทุกอาทิตย์ ถึงแม้ว่าวิธีการสอนแบบคู่ขนานนี้จะทำให้มหาวิทยาลัยและคอลเลจรับนักศึกษาได้จำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการเรียนการสอนที่เสถียรด้วยคุณภาพ

ในส่วนของการสอบวัดผลนั้น เด็กทุกคนต้องใช้มาตรฐานเดียวกันคือ ข้อสอบและระบบการให้คะแนนรวมของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งแยกจากระบบ Tutorial ของคอลเลจโดยสิ้นเชิง การที่มีหลายภาคส่วนทำงานร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างมีระบบในการจัดการของตัวเอง ไม่ขึ้นตรงต่อกัน แต่มีกลไกเสริมจุดอ่อนของกันและกันทำให้ออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ต้องลงทุนกับทรัพยากรบุคคลด้วยงบประมาณมหาศาล การจัดการศึกษาระบบนี้ทำได้ยาก มีต้นทุนสูง ยุ่งยากในการจัดการและใช้บุคลากรจำนวนมาก ซึ่ง Oxbridge สามารถทำได้เพราะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จึงมีนักวิชาการเก่งๆ สะสมในสังกัดจำนวนมาก Tutor ส่วนใหญ่ก็เคยเรียนที่ Oxbridge จึงมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์และวิธีการสอนเป็นอย่างดี ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสนับสนุนที่ทำให้ Oxbridge สามารถจัดการสอนเช่นนี้ได้

ตัวอย่างนักเรียนคนดัง

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผลผลิตจากสองสถาบันนี้ ได้สร้างผลงานที่สั่นสะเทือนโลกไว้รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น Sir Isaac Newton ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วง , Stphen Hawking นักจักรวาลวิทยาผู้บุกเบิกหลุมดำ J.R.R. Tolkien เจ้าของมหากาพย์ The Lord of The Ring ฯลฯ หรือ ผู้นำประเทศทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล บุคคลชื่อดังนานาอาชีพ และอื่นๆ อีกมากมาย

อยากอ่านต่อแล้วใช่ไหม?

ข้อมูลหนังสือ

‘เก่งมาจากไหน? : OXFORD – CAMBRIDGE’
ผู้เขียน: กองบรรณาธิการบันลือบุ๊คส์
สำนักพิมพ์: บันลือบุ๊คส์
จำนวนหน้า: 187 หน้า
พิมพ์ครั้งที่ 1 — 2559
ISBN: 9786162983009

ตรวจสอบสถานะของหนังสือในห้องสมุด

สารบัญ

  • ทำไมต้อง Oxbridge?
  • ระบบการศึกษาของ Oxbridge
  • บุคลากรของมหาวิทยาลัย
  • นักศึกษา Oxbridge
  • เมืองและสิ่งแวดล้อม
  • บทสรุปเพิ่มเติม

รวบรวมและเรียบเรียงจาก