ผ่านไปแล้วสำหรับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ใน Apple Event 2017 ซึ่งครั้งนี้พิเศษคือจัดที่ Steve Jobs Theater หอประชุมใต้ดินสุดล้ำของ Apple ที่สร้างอยู่ในส่วนหนึ่งของ Apple Park ที่จะใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ มีผลิตภัณฑ์อะไรเปิดตัวบ้างไปดูกัน
Apple Watch Series 3
แอปเปิลเปิดตัวนาฬิกา Apple Watch รุ่นที่สาม (Series 3) ที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือต่อเน็ตผ่าน cellular ได้ในตัวมันเอง ไม่ต้องพึ่งการต่อเน็ตจากสมาร์ทโฟนอีกต่อไป ช่วยให้การใช้งาน Apple Watch มีอิสระขึ้นมาก สามารถโทรศัพท์ได้โดยตรง และ streaming เพลงจาก Apple Music ได้ด้วย
ในแง่ของฮาร์ดแวร์ แอปเปิลใช้ e-SIM ขนาดเล็กและการออกแบบเสาอากาศขนาดเล็ก เพื่อให้ขนาดของ Apple Watch รุ่นนี้เท่ากับของเดิม มันใช้ CPU Dual Coreตัวใหม่ ทำงานได้เร็วขึ้น 70%, ชิป Apple W2 ช่วยเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, เพิ่มเซ็นเซอร์วัดความสูง (altimeter) เข้ามา
ฟีเจอร์อื่นที่เพิ่มเข้ามาคือ Siri สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราได้ด้วยเสียงพูด
Apple TV 4K
แอปเปิลเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่ชื่อว่า Apple TV 4K รองรับการแสดงผลระดับ 4K HDR ซึ่งสนับสนุนทั้ง Dolby Vision กับ HDR10 มีซีพียู A10X แบบเดียวกับ iPad Pro และแรม 3GB
ส่วนผู้ใช้งานก็มีการปรับปรุงให้รองภาพที่คมชัดขึ้นแบบ 4K รวมทั้ง Siri ที่เพิ่มคุณสมบัติแนะนำการแข่งขันกีฬาที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น
สำหรับคอนเทนต์ 4K นั้น แอปเปิลประกาศว่าภาพยนตร์ใน iTunes Store แบบ 4K ที่เพิ่มเข้ามาจะจำหน่ายในราคาเท่ากับแบบ HD และผู้ที่เคยซื้อภาพยนตร์ HD ไปแล้ว จะได้รับการอัพเกรดเป็น 4K ทันที ส่วนคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มอื่นนั้น Netflix จะรองรับการทำงานทันที ขณะที่ Amazon Prime จะรองรับภายในปีนี้
Apple TV 4K ขายในราคา $179 สำหรับความจุ 32GB และ $199 สำหรับ 64GB ส่วน Apple TV 4th Gen ลดราคาลงมาเหลือ $149 สำหรับ 32GB เปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน เริ่มส่งมอบตั้งแต่ 22 กันยายน
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
เปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus สองรุ่นนี้ก็คือรุ่นพัฒนาของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั่นเอง ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่มี iPhone รุ่น s ออกมาจำหน่าย
Design
ในด้านของดีไซน์นั้นไม่แตกต่างจากเดิมมาก (iPhone 7 และ iPhone 7 Plus) ยังคงที่หน้าจอขนาด 4.7 นิ้วสำหรับรุ่นปกติ และ 5.5 นิ้วสำหรับรุ่น Plus แต่เปลี่ยนที่วัสดุที่นำมาใช้คือด้านหลังของตัวเครื่ืองทำมาจากกระจก
Spec
หน้าจอ True Tone Display แบบ iPad Pro และลำโพงเสตอริโอที่ดังขึ้นอีก 25% จาก iPhone 7
ใช้ชิปประมวลผล Apple A11 ที่แรงกว่า Apple A10 25% ในส่วนของสองแกนประมวลผล (High Performance) 70% ในส่วนของสี่แกนประมวลผล (Efficiency Core) ในส่วนของ GPU นั้นแรงขึ้นอีก 30%
Camera
Apple ได้ออกแบบชิปประมวลผลที่ทำงานร่วมกับกล้องให้ถ่ายภาพและโฟกัสภายในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของตัวกล้องของ iPhone 8 ใช้เซ็นเซอร์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, Deeper Pixels, ฟิลเตอร์แบบใหม่, รองรับกัันสั่นแบฮาร์ดแวร์ และ iPhone 8 Plus ใช้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นเดียวกัน รูรับแสง f/1.8 และ f/2.8 มีกันสั่น
พิเศษสำหรับ Portrait Mode จะมีตัววิเคราะห์แสงตามสถานที่ต่างๆ ให้ด้วย ฟีเจอร์นี้ไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ แต่เป็นการวิเคราะห์จากซอฟต์แวร์โดยตรง
การถ่ายวิดีโอบน iPhone 8 รองรับ ความละเอียด 4K/60fps และ Slo-mo ความละเอียด 1080p 240fps
Augment Reality
กล้องของ iPhone 8 ถูกออกแบบให้เข้ากับมาพร้อมเซ็นเซอร์แบบใหม่ ทั้งซีพียู จีพียู และเซ็นเซอร์ของภาพถูกปรับให้เหมาะสมกับระบบ Augment Reality หรือ AR มากขึ้น ซึ่งในงานก็จะมีการแสดงตัวอย่างเกมที่ใช้ระบบ AR ให้ชมด้วย
Wireless Charging
ตามข่าวลือก่อนหน้านี้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus รองรับการชาร์จไร้สายด้วยเทคโนโลยี Qi หรือชาร์จแบบต้องมีแท่นด้วยนั่นเอง
ราคาและวันเปิดตัว
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 15 กันยายนนี้ โดยมีสองความจุให้เลือกคือรุ่น 64GฺB และกระโดดไป 256GB ราคาเริ่มต้น $699 หรือประมาณ 23,000 บาทสำหรับ iPhone 8 และ $799 หรือ 26,500 บาทสำหรับ iPhone 8 Plus มีให้เลือกสามสีคือ ดำ ขาว และสีทอง แต่ไม่มีสีชมพูแล้ว
และ Highlight สำคัญที่สุดของานนี้ที่ทุกคนรอคอยคือ
iPhone X (ไอโฟนเท็น)
Apple ได้เปิดตัวและวางขาย iPhone รุ่นแรกเมื่อปี 2007 และตอนนี้ปี 2017 ผ่านมา 10 ปีแล้ว โดย Apple ใช้ชื่อ iPhone รุ่นพิเศษนี้ว่า iPhone X (ไอโฟนเท็น) เนื่องจาก X หมายถึง เป็นตัวแทนของเลข 10
Spec แบบคร่าวๆ
– หน้าจอ Super Retina Display ขนาด 5.8 นิ้ว 2436 x 1125 พิกเซล 458ppi ใช้เทคโนโลยี OLED แบบใหม่ จึงสามารถลบข้อด้อยของ OLED แบบเดิม ๆ ไปได้ กินพื้นที่ด้านหน้าของ iPhone ทั้งหมด
– ไม่มีปุ่มโฮม แต่มีปุ่มเฉพาะสำหรับเรียก Siri
– วิธีการปลดล็อก iPhone ใช้หน้าเรียกว่า Face ID โดยใช้ TrueDepth Camera System โดยใช้ข้อมูลจากกล้องประกอบกับข้อมูลจากเซนเซอร์ต่าง ๆ จากนั้นจะใช้ neural network ในการวิเคราะห์และสร้างหน้าขึ้นมาเพื่อปลดล็อก สามารถทำงานได้แม้ในที่มืด
– Face ID ใช้วิธีการเรียนรู้ที่หน้าตาของผู้ใช้ ดังนั้นไม่ว่าจะใส่แว่นตา เปลี่ยนทรงผม Face ID ก็สามารถจำผู้ใช้ได้ ข้อมูลหน้าผู้ใช้จะถูกเก็บไว้บนเครื่อง และประมวลผลบนเครื่องเท่านั้น ไม่ส่งเข้าเซิร์ฟเวอร์
– Face ID สามารถใช้งานกับ Apple Pay และแอพที่รองรับได้เหมือนกับ Touch ID
– หน้าจอรองรับมาตรฐาน HDR ทั้ง HDR10 และ Dolby Vision
– ฟีเจอร์ใหม่ Animoji คืออีโมจิที่เคลื่อนไหวไปตามหน้าตาของผู้ใช้
– กล้อง 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่นบนกล้องทั้งสองตัว ระบบแฟลช LED True Tone ทั้งหมด 4 ตัว
– รองรับระบบ portrait lighting เหมือนกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
– gyroscope, accelerometer และเซนเซอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ใช้งานกับระบบ Augmented Reality ให้ดียิ่งขึ้น
– กล้องหน้า TrueDepth ทำให้สามารถใช้ portrait mode และ portrait lighting ได้เหมือนกับกล้องหลัง
– ชิพด้านในใช้ Apple A11 Bionic
– แบตเเตอรี่สามารถใช้ได้นานกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง
– รองรับระบบชาร์จไฟไร้สายมาตรฐาน Qi
– ที่ชาร์จไร้สายแบบใหม่ AirPower ของ Apple มีขนาดใหญ่ สามารถชาร์จ iPhone, Apple Watch, AirPods พร้อมกันได้ รองรับมาตรฐานการชาร์จไฟ Qi
มีตัวเลือกความจุ 64GB และ 256GB ราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์
The Verge
สำหรับแฟนๆที่กำลังสนใจจะซื้อโทรศัพท์ของค่าย Apple รุ่นใหม่ก็เตรียมเงินรอได้เลย
ข้อมูลจาก
https://www.iphonemod.net/iphone-x-released.html
https://www.theverge.com/2017/9/12/16288806/apple-iphone-x-price-release-date-features-announced
https://www.blognone.com/node/95436